dimanche 28 août 2011

ข้าวเหนียวเปียกลำใย

ไปซื้อกับข้าว เห็นลำไยจากเมืองไทยไม่ค่อยแพงเท่าไร โลละ  3.5 ยูโรกว่าๆ คุณแฟนใจดีเพราะเห็นว่าฮีจะไปทำงานที่แคนนาดา 2 อาทิตย์เลยซื้อให้เยอะเลยทานไม่หมด บวกกับ 2 วันก่อนนึ่งข้าวเหนียวทานกับไก่อบ แล้วข้าวเหนียวเหลือเลยเอาใส่ตู้เย็นไว้ นึกๆ อยู่ว่าจะทำอย่างไรกับข้่าวเหนียวดี เพราะใส่ตู้เย็นแล้วมันจะแข็งมาอุ่นกินก็ไม่อร่อยแล้ว หันไปหันมาเลยทำข้าวเหนียวเปียกลำไยดีกว่า ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากคะ

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. ข้าวเหนียว
2. ลำไย
3. น้ำตาลทราย
4. เกลือ
5. หัวกะทิ
6. แป้งข้าวเจ้า

ก่อนอื่นก็ตั้งน้ำให้เืดือด แล้วนำข้าวเหนียวที่แช่อยู่ในตู้เย็นมาใส่ลงในน้ำที่เดือดแล้ว ของมิดหมีมันสุกอยู่แล้วใช้เวลาคนต่ออีกไม่นานก็ใช้ได้แล้วคะ (ถ้าหากแช่ข้าวเหนียวไว้สักคืนนึง จะสุกง่ายขึ้นคะ) คนสักพักก็ใส่น้ำตาลทรายลงไป 3 ช้อนโต๊ะ (แล้วแต่ปริมาณที่เราชอบคะ ถ้าชอบหวานก็ใส่อีกได้) แล้วคนต่อไปอีกสักพักจนข้าวเหนียวสุก ก็ใส่ลำไยที่เอาเมล็ดออกเรียบร้อยแล้วลงไป


เสร็จแล้วนำหัวกะทิมาตั้งไฟอ่อนๆ ใส่เกลือลงไป แล้วนำแป้งข้าวจ้าวมาละลายในน้ำ คนสักพักจนแป้งสุก พยายามอย่าให้แป้งเป็นก้อน (ภาพไม่้ค่อยชัดเลย เหอๆ)


 เสร็จแล้วก็ตักน้ำกระทิมาราดข้าวเหนียวที่เราเปียกได้เลยคะ



เสร็จแล้วคะ ง่ายมั้ยคะ ^_^



น้ำพริกมะขามผัด

ได้มะขามอ่อนมาจากปารีสเกือบ 2 อาทิตย์แล้ว ก็ยังไม่ได้ทำอะไร มาเปิดตู้เย็นถึงได้นึกออกเลยรีบจัดการซะก่อนที่มันจะเสีย เมนูนี้ตอนอยู่บ้านที่เมืองไทยแม่ทำให้ทานบ่อย มะขามไม่ต้องซื้อไปปีนต้นข้างบ้านเอา หุหุ จนไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพแม่ก็ทำใส่กระปุกให้ไปกินที่หอด้วย อร่อยและกินได้ไม่เบื่อจริงๆ

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

1. มะขามอ่อน
2. หอมแดง
3. พริกขี้หนู
4. กะปิ
5. น้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลทรายก็ได้คะ
6. หมูสับ
7. น้ำมันพืช



นำมะขามอ่อน หอมแดงและพริกขี้หนูมาตำในครก (ทุกอย่างกะปริมาณเอาแล้วแต่ชอบรสไหนคะ) พอใกล้ละเอียดก็ใส่กะปิ และน้ำตาลปี๊บลงไป ชิมรสตามชอบ แต่มิดหมีจะชอบออกรสเปรี้ยวหวานเผ็ดคะ เสร็จแล้วเอาใส่ถ้วยพักไว้

นำกระทะมาตั้งน้ำมันให้ร้อน แล้วใส่หมูบดลงไปผัดให้สุก เสร็จแล้วนำน้ำพริกที่เราตำไว้มาผัดคลุกเคล้าให้เข้ากันกับหมูที่ผัดไว้ก่อนหน้านั้น ชิมรสดูอีกครั้ง ถ้าเปรี้ยวไปให้เติมน้ำตาลได้คะ (ตอนผัดลืมถ่ายรูปอีกแล้ว - -" )


เสร็จแล้วคะ จะได้กลิ่นหอมๆ ของหมูสับกับน้ำพริก ทำให้นึกถึงบ้านขึ้นมาทันที ทานกับผักสดหรือผักต้มก็ได้ แต่มิดหมีชอบทานกับผักกาดขาวสดๆ คะ 


vendredi 26 août 2011

ท่องปารีส (ตอน 2)

กว่าจะเขียนตอนที่ 2 ได้ ก็ใช้เวลาเกือบ 1 อาทิตย์ มันช่างขี้เกียจดีจริงๆ เวลาบ้าจะเขียนก็แบบเอาเป็นเอาตายกันไปข้างนึงเลยทีเดียว ห้ามใครมาขัดจังหวะด้วย ไม่งั้นมีเหวี่ยง (คนที่บ้านโดนไปแล้ว หุหุ)

ถึงไหนแล้วหว่า?? งั้นมาต่อกันที่ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมปงปีดูแล้วกัน

ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมปงปีดู

ที่นี่เป็นอาคารสมัยใหม่ รูปร่างแปลกตาไม่มีใครเหมือน โครงสร้างส่วนใหญ่เป็นเหล็กรุด้วยกระจก โดยนำโครงสร้างของอาคารที่ควรจะอยู่ด้านในมาไว้ข้างนอกซะหมด เช่นท่อแอร์ ท่อสายไฟฟ้า ท่อน้ำประปา นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนต์ ห้องสมุด และร้านค้า ร้านหนังสืออยู่ด้านในด้วย

อาคารแห่งนี้ก่อสร้างโดย ประธานาธิบดีชอร์ช ปงปีดู ในปี 1911 -1974 โดยพิพิธภัณฑ์จะตั้งอยู่ที่ชั้น 4 จัดแสดงศิลปะตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 จนถึงปัจจุบัน ระเบียงชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิวโดยไม่ต้องจ่ายเงิน เปิดตั้งแต่ 11.00 น. - 21.00 น.






ส่วนด้านนอกจะมีโชว์เป็นจุดๆ ไป ถ้าใครชอบก็สามารถบริจาคเงินได้ แล้วแต่สะดวก แต่เราแค่ดูเฉยๆ คะ ทุนทรัพย์ไม่ค่อยมี อิอิ

ด้านข้างก็จะมีร้านขายของที่ระลึก โปสการ์ด ให้เลือกซื้อเยอะแยะไปหมดเลยคะ

อยากได้ไอเฟลทาวเวอร์ที่เป็นสีๆ ด้านในนะคะ แต่แพงเหลือเกินอันละเกือบ 40 ยูโร  เลยทำได้แต่แอบถ่ายรูปมา (- -)"

เดินต่อมาเรื่อยๆ ทางด้านเหนือของศูนย์ฯ ปงปีดู คือย่านการ์ดีเยร์เดอลอร์ลอชจะเป็นแหล่งช้อปปิ้ง บนถนนหลายสายมาบรรจบกัน มีทั้งร้านเสื้อผ้าเบรนด์แนม และร้านยี่ห้อท้องถิ่นที่ตัดเย็บกันเอง ตลอดจนร้านเสื้อผ้าซึ่งมีคนจีนเป็นเจ้าของร้าน (น่านำเข้าจากเมืองจีน เพราะดูจากการตัดเย็บแล้วเหมือนประตูน้ำบ้านเรา ไม่ค่อยมีคุณภาพสักเท่าไร เหมาะสำหรับคนที่ใส่แป๊บๆ)



และที่สำคัญมีร้าน Zara ด้วยคะ อิอิ อยู่ตรงกันข้ามกับหอคอย Tour Saint-Jacques และเป็นสวนด้วย โชคดีของเราไปเพราะคุงแฟนจะได้มีที่นั่งรอ ไม่มาเดินกดดันระหว่างการช้อปปิ้งให้เสียเซลส์ แหะๆ ระแวกนี้ร้านเสื้อผ้าเบรนด์ดังๆ เยอะเลยคะ เข้าร้านนู้นออกร้านนี้สนุกกันไปเลย


หอคอย Tour Saint-Jacques

หอคอย Tour Saint -  Jacques ตูร์แซงต์ - ฌาคส์ 

เป็นคอหอยทรงโกธิก ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์แวงต์ - ฌาคส์ ครั้งหนึ่งเคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในปารีส แต่มาถูกรื้อถอนไปในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เหลือไว้แต่หอคอยระฆังสูง 52 เมตร ตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะเล็กๆ ปัจจุบันคอหอยแห่งนี้ใช้เป็นหอสังเกตุการณ์อุตุนิยมวิทยา



และเดินขึ้นไปตามถนน Rivoli ซึ่งเป็นถนนที่เรียงรายไปด้วยอาคารสวย แปลกตา มีร้านรวงมากมาย จะเจอกับ Hotel De Ville 

Hotel De Ville หรือศาลาว่าการเมืองปารีส ตั้งอยู่ทางฝั่งเหนือ หรือทางขวาของแม่น้ำแซน เป็นอาคารสไตล์นีโอเรอเนสซองส์ เป็นอาคารที่งดงามจับตาจริงๆ เป็นอาคารสูง 3 ชั้น 

อาคารหลังนี้เคยถูกเผาทำลายในวันที่ 24 พฤษภาคม 1871 โดยฝูงชนที่โกรธแค้นหลังจากที่ได้บุกทำลายคุกบาสตีย์ ในเหตุการณ์จราจลปารีสคอมมูน และต่อมาลานหน้าอาคารก็ได้ใช้เป็นลานประหารนักโทษการเมืองมากมาย ปัจจุบันได้บูรณะใหม่ใหญ่กว่าเดิม


Hotel De Ville หรือศาลาว่าการเมืองปารีส
ซึ่งวันที่ไปแดดแรงมาก มีประชาชนนำตาข่ายมาขึงเล่นวอลเล่ย์บอลกันอย่างสนุกสนาน



หลังจากนั้นเราก็ต่อเมโทรไปที่มหาวิหารนอเตรอดามกันคะ (แป๊บเดียวคะ แต่ขี้เกียจเดิน หุหุ) ที่จริงแล้วที่นี่ก็ไปมาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน (อาจจะเห็นภาพที่แต่งตัวไม่เหมือนกัน หุหุ) แต่ยังไม่เคยขึ้นไปบนยอดของวิหารเลยสักที พอเห็นคนที่ต่อแถวรอแล้วขี้เกียจคะ หุหุ (แต่คนเยอะทุกครั้งจริงๆ นะ)


มหาวิหารนอเตรอดาม (Notre Dame de Paris)

มหาวิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเกาะอิลเดอลาซิเต (lle de la Cite) หนึ่งในสองเกาะกลางแม่น้ำแชนอันเป็นจุดกำเนิดปารีสจากหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ ลูเตเซีย สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาปารีสครั้งแรก มักจะมาขอพรกับรูปปั้นพระแม่มาเรีย "แบล็กเวอร์จิน" สีดำ ให้ช่วยดลบันดาลให้การเดินทางราบรื่น หนุ่มสาวบางคนก็มาขอพรให้ได้พบคู่หรือขอให้ได้กลับมาเยือนปารีสอีก

มหาวิหารแห่งนี้เคยเป็นที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์หลายพระองค์เช่น พระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ เป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสในช่วงสงครามร้อยปี พระเจ้าอองรีที่ 7 ก็ทรงรับมงกุฎที่นี่ และที่เป็นที่กล่าวขานมากที่สุดคือการสวมมงกุฎจักรพรรดิ์ให้กับตัวเองของนโปเลียน โบนาปาร์ต เนื่องจากพระสันตะปาปาปิอุึสที่ 7 ปฏิเสธไม่ยอมสวมงกุฎให้คดีโจน ออฟ อาร์ค วีรสตรีผู้ปกป้องฝรั่งเศสจากการรุกรานของอังกฤษในช่วงสงครามร้อยปี และได้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งหลังถูกตัดสินให้เผาทั้งเป็นเมื่อ 24 ปีก่อน สุดท้ายนางได้รับการตัดสินว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และสำนักงานวาติกันได้ประกาศให้นางเป็นนักบุญ และยังได้เป็นที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อังตัวเนตต์อีกด้วย





ขี้เกียจอีกแระ เด๋วมาต่อคราวหน้านะคร๊า

samedi 20 août 2011

ท่องปารีส (ตอน 1)

ไปปารีสอีกแว้วววววววววว ฮู้ววววววววววว ลัลลาจริงๆ
ไปมาทุกปีแต่ไม่เคยเบื่อ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ชอบไปเ้ดิน ถ.ชองป์เอลิเซ่ แหล่ง shopping ทันสมัยที่สาวๆ หลายคนฝันหา มีร้านเบรนด์ดังๆ เยอะแยะเลย เห็นคนต่อแถวเข้าร้าน Louis Vuitton แล้วมีความสุข (ไม่รู้โรคจิตหรือป่าว หุหุ)เคยเข้าไปดูแต่ไม่เคยซื้อคะ งบไม่ผ่านซักที สงสัยต้องอดข้าวไปหลายเดือน(- -)"

ขออนุญาติเอารูปเก่าที่ไปมาปีก่อนๆ มาลงด้วยนะคะ เพราะว่าคราวนี้ตัดบางที่ที่เคยไปแล้วออกไปหลายที่เหมือนกัน เพราะมีเวลาอยู่ปารีสแค่ 2 วันเอง (ตารางแน่นเอี๊ยด อิอิ)

หอไอเฟล Eiffel Tower 

สัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่รู้จักกันดีมากที่สุด สร้างระหว่างปี 1887 -1889 ออกแบบโดย กุสตาฟ ไอเฟล ผู้ที่เป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรของฝรั่งเศส เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ ถูกพวกไม่เห็นด้วยวิพากษืวิจารณ์ว่าไร้รสนิยม ทำลายทัศนียภาพของเมืองปารีส ต่อมากระแสความต้องการของชาวปารีสก็เปลี่ยนแปลงไป เมื่อกลายเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ต่อมามีการติดตั้งเสาวิทยุเพื่อสื่อสารในช่วงสงครามได้อย่างรวดเร็วขึ้น

หอไอเฟลตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแซน บริเวณฐานหอคอยมีร้านขายของที่ระลึกของหอไอเฟลเอง แต่ถ้าหากอยากได้ของถูก ก็หาซื้อกับพ่อค้าผิวดำ ที่เดินเร่ขายอยู่ทั่วไป คุณสามารถต่อรองราคากับพ่อค้าเหล่านี้ได้ไม่ยาก เราเคยซื้อที่เป็นพวงกุญแจหอไอเฟลอันเล็กมาฝากเพื่อนที่เมืองไทยได้ในราคาถูกมากแค่ 1 ยูโร ต่อ 5 อัน

ที่นี่มีจุดชมวิวอยู่ 3 ระดับ คือชั้น 1 ชั้น 2 ซึ่งสามารถเดินขึ้นบันไดหรือใช้ลิฟท์ก็ได้ แต่ชั้น 3 ชั้นบนสุดต้องใช้ลิฟท์เท่านั้น เรายืนมองอยู่นานคิดว่าจะขึ้นไปดีมั้ยน๊า เพราะถ้าเ้ดินขึ้นไปมีหวังเป็นลมก่อนถึงแน่ๆ แล้วเหลือบมาดูจำนวนคนที่ต่อแถวรอขึ้นไป โอแม่เจ้า 2 ชั่วโมงจะได้ขึ้นมั้ยน๊า เลยตัดสินใจอยู่แค่ข้างล่างก็ได้ หุหุ


ไอเฟลทาวเวอร์ตอนกลางวัน




ถ่ายจากมุมนี้จะเห็นสระน้ำด้วย



ส่วนภาพนี้เป็นตอนกลางคืนคะ





ในตอนกลางคืนจะสว่างไสวไปด้วยดวงไฟที่ประดับไฟกระพริบครบทุกดวงเป็นเวลา 10 นาที และทุกๆ 1 ชั่วโมง สวยงามที่สุด 

ส่วนเวลาเปิดให้ขึ้นไปหอคอย จะเปิดทุกวัน 9.00 - 24.00 น. ค่าขึ้นชมก็จะมีหลายราคา สำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ และเดินขึ้นบันได หรือขึ้นลิฟท์ ราคาผู้ใหญ่ตั้งแต่ 4.5 ยูโร - 13.1 ยูโร และเด็กตั้งแต่ราคา 3 ยูโร - 9 ยูโร  เลือกชมกันตามอัธยาศัยคะ

ประตูชัย Arc de Triomphe

ประตูชัยแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงจุดบรรจบของถนนถึง 12 สายกลางวงเวียนซึ่งเรียกว่าจัตุรัสชาร์ลเดอโกล ตรงฐานด้านหนึ่งใช้เป็นทางขึ้น ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ บอกเล่าประวัติการก่อสร้างที่กินเวลายาวนานถึง 30 ปี ถ้าขึ้นไปจนถึงดาดฟ้าจะสามารถของเห็นหอไอเฟล, ยอดเขามงต์มาตร์ทางตอนเหนือ, เสาโอเบลิสก์บนจัตุรัสกงกอร์ด และพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ และถนนชองป์เอลิเซ่ทั้ง 2 สาย แต่ต้องต่อคิวยาวเหยียดอีกเช่นกัน แต่เราก็รอคะ เพราะพลาดที่หอไอเฟลมาแล้ว


 ถ่ายจากบนยอดประตูชัยคะ 

 มองเห็นยอดโบสถ์ซาเกรเกอร์ลิบๆ


ภายในด้านในของประตูชัยคะ

บันไดทางขึ้นเป็นเขาวงกตเลยคะ และแคบด้วย

 พิพิธภัณฑ์ที่อยู่ด้านในของประตูชัย


ตอนถ่ายต้องระวังรถดีๆ นะคะ อิอิ


คนจะหยุดถ่ายรูปกันตรงนี้เยอะมาก และต้องรอตอนไฟแดงคะ
ตรงนี้เป็นด้านล่างของประตูชัยคะ




ทางขึ้นเมโทรอยู่ตรงประตูชัยนี่พอดี และถนนเส้นนี้คือ ถ.ชองป์เอลิเซ่ที่ว่าคะ

หน้าร้าน Louis Vuitton

 หน้าร้านขนมดังที่ปารีส Laduree แต่ราคาแพงจับใจเหมือนกัน หุหุ

โบสถ์ซาเกรเกอร์ Sacre Coeur

ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดบนเนินเขามงต์มาตร์ สร้างในปี 1923 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับทหารฝรั่งเศส 58,000 นายที่เสียชีวิตในสงครามฝรั่งเศส - ปรัสเซีย ตัวโบสถ์แห่งนี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 46 ปี โอมายก็อต!!  สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองปารีสอย่างสวยงาม เราชอบไปนั่งตอนค่ำๆ ให้ความรู้สึกโรแมนติกมั่กๆ


ด้านล่างมีเครื่องเล่นให้เด็กๆ เล่นด้วย (ขอยืมรูปเมื่อปีก่อนนู้นมาลงนะคะ)

เมื่อมองจากยอดเขาจะเห็นทิวทัศน์ของเมืองปารีส เต็มแน่นเอี้ยดไปหมด

คนแน่นเอี๊ยด จับจองพื้นที่เพื่อชมวิวยามค่ำคืน ที่นี่จะมีคนเดินขายเบียร์เย็นๆ ชื่นใจให้ดื่มกันด้วย สำหรับคนที่ไม่ได้คิดว่าจะนั่งนาน เลยไม่ได้เตรียมมา แต่ราคาแพงกว่า supermarket น๊า

ถ่ายจากในโบสถ์

โพล้เพล้แล้ว ที่นี่จะมีโชว์มากมาย มีคนร้องเพลงให้ฟัง นี่ก็เป็นหนึ่งในโชว์ คนผิวดำโชว์การเลี้ยงลูกบอล ยอมรับว่าเก่งจริงๆ ได้ใจคนแถวนั้นไปเพียบ มีคนมาขอถ่ายรูปเต็มเลย คงดังแล้วมั้งเนี่ย

ตอนกลางคืนสวยดีเนอะ (หมายถึงวิวนะคะ)

โอเปร่าการ์เนียร์ Opera Garnier
จากจัตุรัสวองโดมขึ้นไปทางเหนือผ่านโรงแรมหรูๆ หลายแห่งไม่นานก็จะเจอถนน 6 เส้นมาบรรจบกันทีี่่จัตุรัสโอเปร่า โดยโรงโอเปร่าจะตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนทางเหนือ เป็นโรงละครที่ีหรูหราทันสมัยที่สุดในปารีส  ใช้เวลาสร้าง 13 ปีจึงแล้วเสร็จ มีที่นั่งชมทั้งหมด 5 ชั้น จุนักแสดงได้ถึง 450 คน ด้านในตกแต่งหรูหรา ยอดโดมทำด้วยทองแดงสีเขียว เปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00 - 17.30 น. ค่าเข้าชม 9 ยูโร

ส่วนด้านหลังของโรงโอเปร่าจะมีห้างใหญ่และมีชื่อเสียงอยู่ คือ ห้าง แกลเลอรีลาฟาแยตต์ (Galeries Lafayettd) และ แพร็งตองป์ (Printemps)















ที่นั่ง VIP

พื้นที่สำหรับนั่งชม


แกลเลอรี่ลาฟาแย็ตต์ Galleries Lafayette

เป็นห้างใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส และมีสาขาทั่วประเทศ มีสินค้าเบรนด์เนมมากมายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน น้ำหอม และไวน์ที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส
ประดับตกแต่งอย่างสวยงามโดยเฉพาะยอดโดมบนเพดานของห้าง จะตกแต่งด้วยกระจกสีสไตล์ไบแซนไทน์สูง 33 เมตรอยู่กลางห้าง

มีกิจกรรมลดราคาปีละ 2 ครั้งคือช่วง

Summer Sale เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน - ต้นเดือนกรกฏาคม
Winter Sale เริ่มตั้งแต่กลางเดือนมกราคม - ต้นเดือนมีนาคม


ไม่เฉพาะที่แกลเลอรี่ลาฟาแย็ตต์ฺเท่านั้นที่จัดกิจกรรมลดราคา ทุกที่ทั่วประเทศฝรั่งเศสก็มีเช่นกัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรามีความสุขมากที่สุด และเสียเงินมากที่สุดอีกด้วย (- -)"


จัตุรัสวองโดม (Place Vendome)

ปลาชวองโดม เป็นจัตุรัสที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศสเช่นกัน เนื่องจากรายล้อมด้วยร้านขายเพชรทองมีค่าราคาแพง และร้านเบรนด์เนม มีโรงแรมปาร์คไฮแอทและโรงแรมริตซ์อันหรูหราอยู่บริเวณนี้เช่นกัน บนยอดเสาของกลางจัตุรัสมีรูปปั้นนโปเลียนตั้งอยู่ด้วย (เสียดายหารูปไม่เจอ เลยไม่ได้เอามาลงให้ดู (- -)")

ประตูชัยเล็กและสวนตุยเลอรี (Arc du Carrousel & Jardin des Tuileries)

อาร์ก ดู การ์รูแซล หรือประตูชัยเล็ก ตั้งอยู่ทางตะวันตกของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ตรงข้ามกับปิรามิดแก้วและอนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14  ส่วนสวนตุยเลอรีจะตั้งอยู่ระหว่างประตูชัยเล็กกับจัตุรัสกงกอร์ด ปัจจุบันกลายเป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนได้พักผ่อน


คนพลุ่กพล่านเหมือนกัน

รูปปั้นที่อยู่ภายในสวน


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musee du Louvre)

สถานที่แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังมาก่อน ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่แสดงผลงานจำนวนกว่า 400,000 ชิ้น แต่นำมาแสดงแค่ 40,000 ชิ้นเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จะสลับสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ มีทั้งผลงานศิลปะวัตถุสมัยอีทรัสกัน กรีก โรมัน อียิปต์ ภาพเขียน และประติมากรรมต่างๆ ซึ่งผลงานเหล่าีนี้ส่วนมากได้มาจากการปล้นสะดม การชนะสงครามในสมรภูมิต่างๆ แล้วขนกลับมา

การเข้าชมที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะได้ชมครบทุกชิ้น อิอิ คงต้องไปกันบ่อยๆ

 ปิรามิดแก้วหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์

 ด้านตัวอาคารพิพิธภัณ์ฑ์

 ระหว่างทางเดินเข้าพิพิธภัณฑ์คะ






แล้วมาติดตามกันอีกครั้งในตอนที่ 2 นะคร๊าาา ^_*