samedi 15 octobre 2011

ความทรงจำสีรุ้ง

คิดอยู่นาน ว่าจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเราดีมั้ย? ในที่สุดบทสรุปก็ออกมาว่า " เขียน "

ขอเล่าย้อนกลับไปประมาณ 30 กว่าปีได้ (โอวแม่เจ้า เราแก่แล้วนะเนี่ย) หุหุ

เป็นลูกคนโตในครอบครัวคะ มีน้องอีก 2 คน ผู้หญิงรองจากเราห่างกัน 1 ปี หัวปีท้ายปีเลยคะ เพราะเกิดเดือนเดียวกัน ต่างกันแค่ปีเท่านั้นเอง และน้องชายเป็นคนสุดท้อง น้องสาวและน้องชายเป็นคนเรียนเก่งตั้งแต่เด็กๆ สอบได้ที่ 1 ทุกปีทั้งสองคน แต่เราจัดอยู่ในอันดับปานกลาง คือสอบได้ตั้งแต่ที่ 4-8 ประมาณนี้มาตลอด ไม่เคยได้ที่ 1 เลย แต่มีอยู่ครั้งนึงไม่รู้ฟลุ๊คหรืออย่างไร สอบได้ที่ 2 คร่า ดีใจที่สุด และหลังจากนั้นการเรียนก็เริ่มแย่ลงๆ เพราะเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ "เรียน" แต่หนังสือนิยาย หนังสือการ์ตูนนี่ติดมากๆ ให้ตายเหอะ แต่ให้แย่ยังงัยก็ยังไปเรียนทุกวันคะ ไม่เคยเกเร จนเริ่มเรียน ปวส. ไปสอบที่ พาณิชยการบางนากับเพื่อนๆ ในกลุ่มประมาณ 5 คนได้ แต่เราสอบติดกับเพื่อนอีกคนนึงเท่านั้น ส่วนที่เหลือสอบไม่ติด ก็เลยไปเีรียนที่อรรถวิทย์กัน ก็ยังใกล้กันอีกอยู่ดี (พากันโดดเรียนง่ายด้วย หุหุ ตอนนี้เริ่มโดดเรียนกันบ้างแล้วเป็นครั้งคราว ^^) ช่วงนี้เริ่มมีแฟนแล้วคะ ก็จะไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าไร ติดแฟนว่างั้นเหอะ แต่ก็จบมาได้เกรด 3 อยู่เหมือนกันน๊า ช่วงนี้เป็นช่วงที่เพื่อนๆ ในกลุ่มก็มีแฟนด้วยเหมือนกัน ทำให้แขวไปบ้าง พอเรียนจบก็มาต่อปริญญาตรีอีก 2 ปี ช่วงเรียนปริญญาตรีนี่คือไม่รู้ตัวเองเลยว่าชอบอะไร อยากทำงานแบบไหน แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกเรียน บริหารทรัพยากรบุคคล (หรือว่าชื่อฟังดูดีก็ไม่รู้ หุหุ)

ย้อนกลับมาตอนเด็กๆ ตอนไปโรงเรียนครูจะถามว่าบ้านเรามีฐานะครอบครัวแบบไหน พอเย็นกลับมาถึงบ้านถามแม่ แม่บอกว่าเรามีฐานะ "ปานกลาง" ตั้งแต่นั้นมาเราก็รู้จักแต่ว่าฐานะปานกลาง ไม่เคยรู้จักคำว่าฐานะยากจน หรือฐานะร่ำรวย เท่าที่จำได้สมัยก่อนตอนยังไม่เข้าโรงเรียน พ่อกับแม่ทำไร่อยู่ที่ระยอง เพราะตาจะซื้อที่ทางทำมาหากินให้ลูกๆ ทุกคน แม่เราได้มาเกือบ 50 ไร่ (ตามีลูก 8 คน พี่น้องแม่ทุกคนมีที่ทางทำมาหากินกันทุกคน) พี่น้องแม่ก็อยู่ระยองกันเกือบทุกคน และเราก็โตมากับท้องไร่ท้องนา บางครั้งเวลาพ่อแม่ไปทำไร่ ก็ต้องหอบหิ้วเรา 3 คนพี่น้องไปด้วย ก็เล่นกันอยู่ในไร่นั่นแหละ จะีมีกระต๊อบเล็กๆ อยู่หลังนึง พ่อแม่ก็สั่งว่าให้ดูน้องอยู่ที่นี่ เราก็เล่นกันไปตามประสา แต่สนุกดีนะ มีที่ให้พวกเราเล่นเยอะแยะเลย พอตกเย็นก็กลับบ้าน พอเริ่มทีี่จะเข้าโรงเรียนแม่ก็พาไปเข้าโรงเรียน สมัยนั้นแม่ต้องขี่จักรยานไปส่ง ไปเรียนกับน้องสาว 2 คน บางวันพ่อแม่ไม่ว่างมารับ ก็ต้องเดินกลับบ้านกันเอง สมัยก่อนเดินไปก็ร้องไห้ไป ทำไมแม่ไม่มารับ เพราะโรงเรียนมันไกลจากบ้านอยู่เหมือนกัน บางทีเดินไปได้ครึ่งทางแม่ถึงจะมารับ ส่วนน้องชายพอเห็นพี่ๆ ไปโรงเรียนก็ร้องตามไม่หยุด จนแม่ต้องไปเอาุกระโปรงนักเรียนของน้องสาวมาใส่ให้ถึงเลิกร้องไห้ นึกแล้วก็ขำเหมือนกัน เรียนได้ไม่นานพ่อแม่ก็ขายที่ที่ระยอง ย้ายมาอยู่บางปะกง เพราะบ้านตากับยายอยู่บางปะกง เราก็เลยย้ายมาตั้งรกรากที่บางปะกงเป็นการถาวร ไม่ได้ทำไร่ทำนาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

อยู่บางปะกง พ่อกับแม่เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้งคะ เพราะตามีที่เยอะ (ในตำบลนั้น ขณะนั้นถือว่าเยอะแล้ว เพราะในระแวกเดียวกันก็อยู่ราวๆ นี้ และใกล้กรุงเทพด้วย เดินทางประมาณ 1 ชม.ก็ถึงแล้ว) ประมาณ 25 ไร่ได้  และเราก็ปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ บ้านตานี่แหละ สมัยก่อนบ้านตาเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนั้นเลยก็ว่าได้ สำหรับเราเรา ก็ว่าใหญ่มาก แถมตากับยายก็อยู่กันแค่ 2 คนเอง ตอนหลังพี่ชาย (ลูกของน้าที่ระยอง ก็มาอยู่ด้วย เพราะมาเรียนหนังสือที่นี่) พี่ชายจะอยู่ชั้น 2 และจะมีเพื่อนพี่ชายมาค้างด้วยบ่อยๆ เราชอบแอบไปดูว่าเขาทำอะไรกัน แล้วก็จะโดนไล่กลับมาบ่อยๆ

แม่บอกว่าสมัยนั้นบ้านตาเป็นหลังเดียวที่มีทีวีดู คนละแวกนั้นก็จะแวะมาที่บ้านตากันบ่อยๆ และตาเป็นคนที่มีคนนับหน้าถือตาเยอะ ใครๆ ก็รู้จัก ตากับยายเป็นคนขยัน ถึงได้สร้างครอบครัวและเลี้ยงลูกมาได้ขนาดนี้ แถมยังมีที่ทางให้ลูกทำมาหากินกันทุกคน แกจะอยู่บ้านเฉยๆ ไม่เป็น จะต้องทำนู่นทำนี่ตลอด ขนาดลูกๆ บอกให้หยุดทำ แกยังไปตัดทางมะพร้าวในสวนมาเหลาไม้กวาดขายเลย เรายังเคยไปช่วยเหลาเลย มันก็เพลินดีนะ สนุกดีและได้ตังค์ด้วย ตากับยายชอบปลูกผักสวนครัวด้วย ฉะนั้นเราจึงไม่ค่อยได้ซื้อผักกินเท่าไร เวลาแม่ทำกับข้าวก็จะใช้ให้เราไปเก็บพริกขี้หนู ใบกระเพรา ฯลฯ ที่บ้านตาตลอด บางทีตอนค่ำๆ หน่อยก็ไม่อยากไปแล้ว เพราะกลัวผี ฮ่าๆๆๆ ก็ตาปลูกพริกไว้หลังบ้านนี่ แถมหลังบ้านก็เป็นบ่อปลาเวิ้งว้างอีกต่างหาก พอเก็บเสร็จก็วิ่งปรู๊ดกลับบ้านเลย ไม่มี่เถลไถล ฮ่าๆๆๆๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่งตาปลูกถั่วผักยาวไว้ริมถนน งามมาก ออกฝักเยอะเลย เราก็ขี่จักรยานเล่นตามประสา แต่ดันไปล้มตรงที่ตาทำซุ้มไว้ให้ต้นถั่วฝักยาว ปรากฎว่าพังไปแถบนึงเลย ตาต้องมาซ่อมแซมใหม่ แถมบ่นอีกนิดหน่อยว่าใครมันทำวะ แต่เราก็กำชับแม่ว่าอย่าบอกตานะ กลัวโดนดุ (- -)"

ตอนเด็กๆ ชอบไปเล่นบ้านตา เพราะตากับยายใจดี และมีที่ให้เล่นเยอะ แต่บางทีก็ชอบใช้ให้บีบขา (อันนี้ไม่อยากทำก็ต้องทำ ฮ่าๆๆๆ) ยายชอบทำตัวดูดขาย (เคยกินกันมั้ยคะ เป็นน้ำหวาน หรือน้ำกาแฟที่เอามาใส่ในแบบพิมพ์พลาสติก เป็นรูปปลามั่ง เป็นรูปขวดโค้กมั่ง) เสร็จแล้วก็เอาไปแช่ช่องฟิสให้มันแข็ง ขายตัวละ 1 บาท เราก็เป็นลูกค้าประจำของยายตลอด บางทียายก็ไม่เอาตังค์ให้กินฟรี หลังๆ แม่เลยบอกว่าไม่ให้ไปซื้อแล้ว เพราะเกรงใจยาย แกชอบให้กินฟรี

บ้านเรากับบ้านยายอยู่ใกล้กัน บางทีแม่ทำกับข้าวเสร็จก็จะให้เรายกไปให้ยายด้วย เรามีอะไรก็จะแบ่งปันกัน (อย่างนี้แหละคนบ้านนอก หุหุ) เมื่อก่อนจะมีความผูกพันธ์กับตายายมาก สมัยก่อนบางทีถ้าตาไม่อยู่บ้าน 2-3 วัน แม่ก็จะให้เรากับน้องสาวไปนอนเป็นเพื่อนยายบ่อยๆ แต่ยายจะตื่นตั้งแต่ตี 3 เพื่อมาสวดมนต์ เราก็ต้องตกใจตื่นไปด้วยเพราะเสียงวิทยุที่ยายเปิดบทสวดมนต์ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการนอนของเราสักเท่าไีร เพราะสักพักเราก็หลับต่อจนถึงเช้า และทุกๆ เช้าตายายจะเปิดวิทยุเพื่อฟังข่าว เราก็จะติดไปกับแกเหมือนกัน จะได้ยินเพลงสยามมานุสติ (ไม่รู้เด็กๆ สมัยนี้จะเคยได้ยินกันมั่งหรือเปล่านะ    
สยามานุสสติ เป็นคำโคลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2461 และได้พระราชทานแก่ทหารอาสาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาได้มีการนำโคลงนี้มาแต่งเป็นเพลงปลุกใจ ซึ่งประพันธ์ทำนองโดยนารถ ถาวรบุตร)

เราจำท่อนฮุกได้ขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้ ที่เขาจะร้องว่า 

หากสยามยังอยู่ยั้ง ยืนยง
เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ ได้ฤๅ
เราก็เหมือนมอดม้วย หมดสิ้นสกุลไทยฯ
ใครรานใครรุกด้าว แดนไทย
ไทยรบจนสุดใจ ขาดดิ้น
เสียเนื้อเลือดหลั่งไหล ยอมสละ สิ้นแล
เสียชีพไป่เสียสิ้น ชื่อก้องเกียรติงามฯ 

เฮ้อ!! ฟังแล้วคิดถึงตากับยายจัง (- -)"

ตอนหลังพ่อกับแม่เปิดร้านขายของชำที่บ้านด้วย ตอนนี้เราก็จะมีงานเพิ่มขึ้นก่อนไปโรงเรียนอีกแล้ว เพราะแม่จะขายก๋วยเตี๋ยวด้วย ส่วนหน้าที่ของเราคือเตรียมเครื่องปรุง พวกพริกดอง น้ำส้ม น้ำปลาไรงี้ ก่อนไปโรงเรียนเราก็จะต้องหั่นพริกดอง และทำความสะอาดพวงพริก แต่ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ก็จะเจียวกระเทียม, สับหมู (ทำหมูบะช่อ), หั่นต้นหอมผักชี คือเรียกว่าทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เมื่อก่อนไม่อยากให้แม่เหนื่อย อยากแบ่งเบา ช่วยเหลืองานแม่บ้าง บางทีเพื่อนชวนไปเที่ยวในเมือง (ซึ่งยากมาก จะไม่ค่อยได้ไปบ่อยๆ เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เพราะพ่อหวงมาก ลูกสาวสวยก็งี้ อิิอิ) ก็จะตื่นเช้ากว่าปกติ มาช่วยแม่เตรียมของให้เรียบร้อยก่ือน ถึงจะไปได้อย่างสบายใจ หรือบางทีวันเสาร์ อาทิตย์ครูให้ไปเรียนพิเศษ ก็จะขอครูว่าขอช่วยแม่เตรียมของ และรอแม่กลับมาจากตลาดก่อน ถึงจะไปเรียน เพราะไม่มีคนเฝ้าบ้าน เผื่อมีคนมาซื้อของ เราเป็นตัวสำรอง รองจากแม่ ส่วนน้องสาวไม่ต้องพูดถึง ทะเลาะกันทุกครั้งกับเรื่องทำงานบ้าน เำพราะชีจะเอาแต่ทำการบ้าน อ่านหนังสืออย่างเดียวเลย จนตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมน้องสาวถึงจบปริญญาเอก แถมจบจากออสเตรเลียอีกต่างหาก ไอ้เรื่องที่เราบ่น และทะเลาะตบตีกันทุกครั้งเพราะชีเอาแต่ทำการบ้านๆ อ่านหนังสือ แล้วก็นอนหลับ ตอนนี้ได้ไขข้อกระจ่างไปเรียบร้อยแล้ว

ช่วงนี้พ่อแม่มีร้านขายของชำด้วย และเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลาด้วย แต่กุ้งต้องดูแลเป็นพิเศษ ทิ้งขว้างเหมือนปลาไม่ได้ ตอนเช้าเราก็ให้อาหารกุ้งด้วย พ่อจะซื้อปลามาจากตลาด เราก็มีหน้าที่สับๆ แล้วเอาไปหย่อนให้กุ้งในบ่อกินด้วย ก่อนไปโรงเรียน ทำให้เราไปโรงเรียนสายประำจำ จนโดนครูว่าหน้าเสาธงเลย   (- -)"  แต่ก็สนุกดี

เราชอบช่วงที่เขาเรียกว่า " ขึ้นปลา หรือ วิดบ่อ"  มาก เมื่อเราเลี้ยงปลาจนโตได้ที่ (ประมาณสัก 8-9 เดือนมั้งถ้าจำไม่ผิดนะ แต่ใช้เวลานานกว่ากุ้ง กุ้งแค่ 3 เดือนก็จับขายได้แล้ว) ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ตื่นเต้นที่สุด เพื่อนบ้านจะมาใช้แรงกัน ช่วยกันจับปลา และจะมีอาหารการกินเยอะมาก เพราะแม่จะทำอาหารไว้เลี้ยงแขกเยอะเลย แต่ช่วงไฮไลท์สำคัญจะอยู่ตอนที่เวลาเขาจับปลากันไปหมดแล้ว มันจะมีพวกปลาช่อน มุดดินอยู่ ซึ่งเขายังจับไม่หมด เราจะขอพ่อไปจับทุกครั้งกับญาติๆ ที่โตมาด้วยกันเนี่ยแหละ สนุกมาก เนืิ้อตัวจะเต็มไปด้วยขี้เลน และแม่จะบ่นทุกครั้งเวลาที่เห็นเรากลับมาในสภาพแบบนี้ เพราะต้องมาซักเสื้อผ้าให้พวกเรา

พอเรียนอยู่ชั้นมัธยม 2 ก็มีจุดหักเห เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่สนามบินสุวรรณภูมิกำลังก่อสร้าง ซึ่งบ้านเรานับว่าห่างจากสนามบินไม่ไกลเท่าไร ทำให้ที่ดินแถวนี้ราคาพุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว ทำให้มีนายหน้าค้าที่ดินแวะเวียนมาหาตาบ่อยๆ ในที่สุดตาก็ตกลงขาย (- -) ท่านคงคิดว่าแก่แล้ว ขายไปจะได้เอาเงินมาแบ่งให้ลูกๆ เพราะลูกๆ ทุกคนก็มีที่ทางทำมาหากินกันเรียบร้อยแล้ว (แต่ท่านคงลืมนึกไปว่ายังมีแม่เรา กับน้าชาย ที่ขายที่ (ที่ตาเป็นคนซื้อให้) แล้วย้ายมาอยู่ในพื้นที่บ้านตากัน 2 ครอบครัว) แต่ตอนนั้นเรายังเด็ก ก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่มีความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น คิดแต่เพียงว่า ต่อไปคงไม่ได้ไปจับปลา และเก็บมะม่วงท้ายบ่ออีกแล้ว

ณ.ตอนนั้นที่ตาตกลงขายที่ดินจำนวน 25 ไร่กว่าๆ จำได้ว่าตาขายไปในราคาไร่ละ 5 แสน ก็ลองบวกลบคูณหารกันเอาเองแล้วกัน แล้วก็แบ่งเงินให้ลูกๆ ทุกคน แต่ตาไม่ได้ขายทั้งหมด ยังคงเหลือไว้ให้เรา 2 ครอบครัวมีที่ปลูกบ้านและมีบริเวณบ้านให้พอประมาณ แม่เลยนำเงินส่วนแบ่งมาต่อเติมบ้าน และขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น ช่วงนี้อะไรๆ ก็ดูดีไปหมด พ่อกับแม่ไม่เคยทะเลาะกันเลย  (อาจจะเป็นเพราะมีเงินในบัญชีให้อุ่นใจแล้ว) แต่เราจำได้สมัยที่ตายังไม่ได้ขายที่ เราก็ไม่ถึงกับลำบาก บ้านเราพอมีพอกิน ตอนเด็กๆ เคยถามแม่ว่าถ้าหนูจะเรียนไปสูงๆ จนจบปริญญาตรีได้มั้ย แม่ก็บอกว่าอยากเรียนแค่ไหนก็เรียนไปเลย ถ้าหัวเราไปไหว แม่สนับสนุนตลอด เพราะแม่บอกว่าตอนสมัยแม่ แม่อยากเีีรียนมาก แต่ตาไม่ให้เรียน ให้ออกมาช่วยกันทำงาน เพราะมีลูกหลายคน แม่บอกว่าถ้าแม่ได้เรียนต่ออีกนิดป่านนี้คงได้เป็นครูไปแล้ว
ตอนนี้เราขออะไรแม่แม่จะตามใจทุกอย่าง สมัยก่อนฮิตกางเกงยีนส์ Levi ตัวละหลายพัน แม่ก็ให้ซื้อ พอเราจบ ม.3 ก็เลือกเรียนสายพาณิชย์ (ไม่รู้ทำไมตอนนั้นคิดแบบนั้นก็ไม่รู้ ตอนนี้นึกเสียดายอยากเีรียนสายวิทย์) จนจบ ปวช. และไปต่อ ปวส.ที่พณิชยการบางนาที่บอกนั่นแหละ และมาต่อปริญญาตรีที่ ราชภัฎราชนครินทร์จนจบ (เคยไปสอบที่ ม.บูรพา 2 ปีซ้อนเลยคะ แต่ไม่ติด เศร้ามากๆ) 

พอเรียนจบแล้วก็มาำทำงานกับญาติแฟนเก่า (แฟนคนแรก คบกันยาวนานมาก ประมาณ 7 ปีได้) เพราะอา หรือแฟนเก่าจะเรียกว่า "โซ้ยโกว" เพราะเป็นคนจีน เป็นผู้หญิงแกร่ง และเก่งมาก เขาเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แฟนเก่าเลยให้มาช่วย "โซ้ยโกว" ที่นี่ ทำได้ 2 ปี ก็ได้งานใหม่เป็นโรงพยาบาลเอกชน แถวๆ บางบ่อ ตอนนี้เลิกกับแฟนเก่าแล้ว เพราะปัญหาหลายอย่าง และมีแฟนใหม่แล้วเช่นกัน (อย่างรวดเร็ว อิอิ) อยู่ที่นี่สนุกมาก งานที่เราทำต้องออกข้างนอกบ่อยๆ เพราะงานที่เราทำอยู่ฝ่ายการตลาด ต้องไปออกบูธ และออกหน่วยตรวจสุขภาพตามโรงงานต่างๆ ด้วย ทำที่นี่นานเหมือนกันเกือบ 4 ปีเต็ม

ทำได้ประมาณ 2 ปี แม่ก็ป่วยเป็นเนื้องอกที่ท้อง ตอนแรกๆ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แม่ผอมลงมาก แต่ท้องกลับโตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนคนท้องเลยก็ว่าได้ ช่วงนี้แม่ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลบ่อย และผลสุดท้ายไปผ่าตัดที่ รพ.จุฬา และต้องพักฟื้นที่นั่น ซึ่งลำบากมากสำหรับคนอยู่ต่างจังหวัด จึงไม่มีใครได้เฝ้าแม่ ก็เทียวไปเทียวมาเอา ช่วงนี้เป็นช่วงที่ขัดสนอีกเหมือนกัน เงินก็ร่อยหลอลงทุกที ของก็แทบไม่ได้ขาย น้องชายก็ติดเพื่อน ติดยา ไม่ยอมไปเรียน ผลสุดท้ายก็เรียนไม่จบ แม่รักษาตัวอยู่หลายอาิทิตย์ ถึงได้กลับบ้าน พอกลับมาบ้านได้ไม่นานยายก็ป่วย แกอายุมากแล้ว แม่จึงไปอยู่บ้านลุงเพื่อดูแลยาย เพราะพี่ๆ น้องๆ คนอื่นอยู่กันไกลถึงระยองนู่นเลย เกือบ 2 เดือนมั้งที่แม่ไปดูแลยายและนอนค้างที่นู่น ไม่นานยายก็เสีย ช่วงนี้เราเสียใจมาก เพราะไม่ได้กลับไปงานศพยายเลย ด้วยเหตุผลบางประการ ช่วงนี้เศรษฐกิจที่บ้านแย่มากๆ ของก็ไม่ได้ขายแล้ว เรียกได้ว่าเป็นจุดต่ำสุดของชีวิตเราเลยก็ว่าได้


พอเสร็จสิ้นจากงานศพยาย หลานแม่ก็ชวนแม่ไปทำงานที่ระยอง แกเป็นอาจารย์อยู่ที่ระยอง และจะสนิทกับแม่มาตั้งแต่เด็กๆ โตและเล่นมาด้วยกัน (เป็นลูกของพี่ชายคนโตของแม่ และแม่กับพี่ชายคนนี้อายุค่อนข้างห่างกันพอสมควร จึงมีลูกอ่อนกว่าแม่ไม่ถึง 10 ปี) บ้านพี่อ๋อยอยู่ใกล้กับแหลมแม่พิมพ์ พอดีมีคนต้องการแม่บ้านไปดูแลรีสอร์ท แม่เลยไปอยู่กับพี่อ๋อยและช่วยพี่อ๋อยทำขนมส่งขายที่ตลาดด้วย แต่เงินเดือนที่ได้มา แม่ไม่เคยใช้เลย แม่ส่งมาให้พ่อกับน้องชายทุกเดือน แม่บอกว่าอยู่กับพี่อ๋อยไม่ต้องใช้เงิน เพราะกินอยู่กับเขา แถมยังช่วยเขาทำขนมขายอีก 


เวลาที่นึกย้อนกลับไปตอนนี้ทีไร ทำให้เราน้ำตาตกทุกครั้ง และนับตั้งแต่นั้นมา เรามีความตั้งใจและปฎิญาณกับตัวเองมาตลอดว่า เราจะต้องไม่ทำให้พ่อแม่ลำบากอีก ทุกวันนี้จึงส่งเงินให้แม่ทุกเดือน และคิดอยู่เสมอว่าเราจะไม่ให้เขาต้องทำอะไรแล้ว จะให้อยู่เฉยๆ พักผ่อน เพราะเหนื่อยมามากแล้ว

เอ ทำไมตอนจบมันเศร้าจังหว่า (- -)" 
แต่อยากบอกว่ารักทุกคนนะ ถึงแม้จะไม่เคยพูดออกมาเลยสักครั้งเดียว




รูปนี้ถ่ายตอนน้องสาวรับปริญญาโท (7 ปีมาแล้ว) จนตอนนี้ชีจบด๊อกเตอร์ไปแล้ว ไม่มีน้องชาย เพราะฮีไม่ชอบถ่ายรูป และไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน


Aucun commentaire:

Enregistrer un commentaire