lundi 17 octobre 2011

ไปเก็บลูกเกาลัดกัน ^^

พยากรณ์อากาศบอกว่าเสาร์อาิทิตย์นี้อากาศดี ไม่มีฝน มีแดดทั้งวัน เราเลยนัดแนะกับพี่เจ็งไว้แล้วว่าจะไปเดินป่า เดินเขากัน พอเย็นๆ พี่เจ็ง message มาบอกว่าเราไปเก็บลูกเกาลัดกันดีกว่า ปีที่แล้วแกไปมา บอกว่าสนุกดี เราก็ยังไม่เคยเห็นต้นเกาลัดเลย และลูกมันก่อนที่เราจะเอามากินจะเป็นอย่างไรนะ คุณแฟนก็ไม่เห็นเคยพาไปเลย พอไปถามแฟน แฟนบอกว่าไอก็ยังไม่เคยไปเหมือนกัน แป่ววววววววว

คุณแฟนกลับมาจากแคนนาดาวันเสาร์ประมาณ 11 โมงเช้า เราก็เกรงใจแกอยู่เหมือนกัน เพราะไปทำงานตั้ง 2 อาทิตย์ไม่ได้เจอกันเลย พอกลับมาเราก็จะไปเที่ยวอีกแล้ว ก็เลยสรุปกันว่าพอฮีกลับมาจะไปจ่ายตลาดกันก่อน พอตอนบ่ายๆ ฮีถึงจะนอนพัก แต่พอกลับมาถึงจริงๆ กลับไม่ได้ไปจ่ายตลาด เพราะมีรักบี้นัดสำคัญรอบตัดเชือกว่าจะได้เข้ารอบ Final หรือป่าว ฮีเลยขอดูรักบี้จบก่อน กว่าจะจบก็เที่ยงพอดี สรุปแล้วเราก็เลยจะไปจ่ายตลาดกันตอนเย็นๆ หลังกลับจากไปเก็บลูกเกาลัดกัน ช่วงที่เราไม่อยู่ฮีก็จะได้นอนพักผ่อน โอเค เข้าล็อกพอดี

หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จ พี่เจ็งก็บอกว่าจะมารับที่บ้านตอนบ่าย 2 เรายังไม่เคยไปเก็บลูกเกาลัดมาก่อน เลยไม่รู้ว่าต้องเตรียมอะไรไปมั่ง จึงหยิบเอาแค่ถุงพลาสติกไปแค่อย่างเดียวเท่าันั้น พอขึ้นรถน้องแซนด์ถามว่า น้ามี่ๆ น้ามี่เตรียมอุปกรณ์อะไรมาเก็บเกาลัดมั่ง แป่วววววววววว!! แล้วเขาต้องมีอะไรกันมั่งเหรอ อิอิ

สรุปแล้วได้ความว่า ลูกเกาลัดก่อนที่เราจะเห็นเป็นเม็ดที่เขาคั่วขายกันตามเยาวราช หรือจตุจักร ภายนอกมันจะเป็นหนามแหลมคมมาก ถ้าไปถูกมันโดยที่ไม่มีถุงมือมันจะทิ่มเราได้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรจะมีถุงมือไปด้วย และควรจะใส่รองเท้าผ้าใบ เพื่อกันมันทิ่มเท้าเอาด้วย

ส่วนเราก็ไปตัวเปล่า พร้อมกับรองเท้าคัทชูธรรมดาๆ เลยโดนหนามลูกเกาลัดทิ่มเท้าอยู่เหมือนกัน หุหุ


นี่แหละคะลูกเกาลัดที่ว่า ภายนอกมันจะมีหนามแหลมๆ อยู่ เราต้องใช้เท้าเหยียบเพื่อให้มันแตก แล้วก็แงะเอาเม็ดข้างในออกมา หรือถ้ามีถุงมือก็ใช้ถุงมือแงะมันออกมาแบบนี้


เราไปกัน 2 ครอบครัว (ส่วนเราตัวคนเดียวคะ อิอิ) ก็จะมีครอบครัวพี่เจ็ง 1 ครอบครัว และครอบครัวคนเกาหลีอีก 1 ครอบครัว เด็กๆ ก็เป็นเพื่อนที่โรงเรียนเดียวกันทั้ง 2 ครอบครัว ส่วนหัวหน้าครอบครัวก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่มิชลินฯ เหมือนกัน เลย speak English กันหนุกหนาน ครอบครัวเกาหลีมีเด็กฝรั่งมาด้วย 2 คน พ่อแม่เขาฝากมา เพราะเด็กๆ อยากไปเล่นด้วยกัน 

พอถึงป่าที่เราจะไปเก็บเกาลัดกัน ตื่นเต้นเหมือนกันคะ เพราะมีรถจอดอยู่หลายคันเลย คนฝรั่งชอบพาเด็กๆ มาทำกิจกรรมในป่ากันคะ ก็สนุกและได้ประโยชน์ไปอีกแบบ


ช่วงนี้ใบไม้กำลังร่วงเลยคะ แต่เสียดายมันยังไม่เปลี่ยนสี ถ้าต้นไม้เปลี่ยนสีก็จะสวยไปอีกแบบ พอเดินเข้าไปในป่า ต้นไม้ใบไม้เยอะ แดดเลยส่งมาไม่ถึง อากาศก็จะเย็นอยู่เหมือนกัน แต่บรรยากาศดีคะ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ^^


นี่เลยคะ ลูกเกาหลัดจะล่วงหล่นอยู่บนพื้นเยอะแยะไปหมดเลย เดินไปทางไหนก็มีแต่ลูกเกาลัด แต่ส่วนมากจะโดนแกะเม็ดออกไปหมดแล้ว ต้องเดินเข้าไปด้านในๆ ที่คนไม่ค่อยเดินผ่าน ถึงจะได้ลูกแบบสมบูรณ์ที่ยังไม่โดนแกะออกไป





น้องแซนด์ภูมิใจที่เก็บได้ลูกใหญ่คะ ^^




โชว์กันหน่อย ^^


ทางขึ้นเขา Puy de dome



ต้นไม้บางต้นเริ่มเปลี่ยนสีแล้วคะ คิดว่าอาทิตย์หน้าคงสวยกว่านี้




dimanche 16 octobre 2011

Poule au pot หรือชื่อไทยๆ ก็คือไก่ต้มนี่เอง ^^

จริงๆ แล้วตอนที่ทำนี่ คิดเอาเองตามความชอบของเราคะ พอดีได้ไปทานอาหารค่ำบ้านฝรั่งคนนึง เขาเอาหูหมู, ขาหมู และมันฝรั่ง แครอทมาต้มรวมกัน มันอร่อยดีคะ ก็เลยเอามาปรับแต่งทำให้แฟนกินมั่ง แต่แฟนเราไม่ชอบอะไรที่มันอ้วน ไม่ชอบหมูสามชั้น เราก็เลยใช้ไก่แทน แต่ทำออกมาแล้วแฟนบอกว่าที่นี่เขาเรียกว่า " Poule au pot "  เออ เอากะเขาซิมั่วจนได้เรื่อง อิอิ

สิ่งที่จับใส่ลงไป

1. ไก่ 1 ตัว
2. กระเทียม 1 หัว
3. แครอท
4. หัวไชเท้า
5. มันฝรั่ง
6. céleri
7. ต้นหอมต้นใหญ่หรือ poireaux
8. พริกไทย
9. thym
10. ถั่วลันเตา (อันนี้มันเิหลือในตู้เย็นคะเลยจับใส่ไปด้วย
11. เกลือ
12. น้ำตาล

อันดับแรกก็นำน้ำตั้งไฟพอร้อนก็ใส่หัวกระเทียมลงไปทั้งหัวเลยคะ แล้วใส่พริกไทยเม็ดลงไปเพื่อเพิ่มความหอม และใส่มันฝรั่ง, หัวไชเท้า, แครอท, poireaux, celeri และถั่วลันเตาลงไปต้มรวมกัน


หลังจากนั้นก็เตรียมล้างไก่ แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ (ไม่ต้องหั่นก็ได้นะคะ บางคนก็ใส่ไปทั้งตัวเลย)


พอน้ำเดือด ก็เอาไก่ใส่ลงไปในหม้อได้เลยคะ ใส่ Thym เพื่อเพิ่มกลิ่นและรสนิดหน่อยคะ
สักพักก็ใส่เกลือ มิดหมีใช้น้ำตาลมะพร้าวใส่ไปเสี้ยวนึงคะ
ต้มไปสัก 30 นาที สังเกตุว่าไก่และมันฝรั่งนิ่มแล้วก็ยกลงคะ


คนฝรั่งที่นี่เขาจะแยกน้ำซุบกินต่างหากคะ ส่วนไก่กับผักต่างๆ นี่ก็กินกับมายองเนส
ส่วนมิดหมีก็ทำน้ำจิ้มซีฟู้ดส์ เอามาจิ้มไก่อีกทีนึง อร่อยดีคะ เหมือนกินไก่ต้มตอนตรุษจีนเลย ฮี่ๆ
แถมมีน้ำซุปหวานๆ จากผักและเนื้อไก่ซดตามอีกต่างหาก แฟนบอกว่าน้ำซุปอร่อยมาก


หลังจากนั้นเราก็จัดการไก่กันจนเรียบ ไม่มีเหลือคะ เหลือแต่ผักกับน้ำซุปแล้วทีนี้


แฟนเลยบอกว่ามื้อเย็นจะทำซุป โดยเอาผักที่เหลือและน้ำซุปมาปั่นรวมกันอย่างที่เห็น ใส่นมลงไปด้วย


หลังจากนี้เป็นหน้าที่แฟนจัดการส่วนที่เหลือทั้งหมดคะ ฮีเอาชีสขูดมาโรยหน้า 
แล้วตะโกนบอกว่า "อร่อยมา่กเลย "



ยำไก่พริกเผา




ตอนอยู่เมืองไทย สมัยเด็กๆ ช่วงหน้าฝนพ่อจะชอบออกไปหากบตอนกลางคืนบ่อยๆ พอเช้าตื่นมาจะเห็นกบอยู่ในกระสอบปุ๋ยเป็นประจำ แม่มักจะชอบทำยำกบให้กิน เป็นเมนูโปรดของครอบครัวอีกเมนูหนึ่งนะ

พอมาอยู่นี่ก็นึกอยากกินยำกบ แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เลยเปลี่ยนเป็นไก่แทน ก็พอหายอยากได้เหมือนกันคะ

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. เนื้อไก่
2. น้ำพริกเผา (เราใช้น้ำพริกเผาของ LOBO แทนคะ ประหยัดเวลา)
3. ตะไคร้
4. หอมแดง
6. พริกขี้หนู
7. ต้นหอม, ผักชี
8. น้ำมะนาว
9. น้ำปลา
10. น้ำตาล
11. มะม่วงเปรี้ยว (แต่วันนี้ไม่มีเลยไม่ใส่คะ)

ก่อนอื่นก็นำไก่ไปต้มให้สุกก่อนคะ เสร็จแล้วก็เอาช้อนส้อมมาฉีกให้เป็นเส้นๆ


เสร็จแล้วก็มาหั่นตะไคร้, หอมแดง, พริกขี้หนูเตรียมไว้คะ


หลังจากนั้นก็มาเตรียมน้ำยำกันคะ นำพริกเผา, น้ำมะนาว, น้ำปลา และน้ำตาลมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน



หลังจากนั้นก็นำเนื้อไก่ และผักที่เราหั่นไว้ใส่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน



เรียบร้อยคะ ^^



samedi 15 octobre 2011

ความทรงจำสีรุ้ง

คิดอยู่นาน ว่าจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเราดีมั้ย? ในที่สุดบทสรุปก็ออกมาว่า " เขียน "

ขอเล่าย้อนกลับไปประมาณ 30 กว่าปีได้ (โอวแม่เจ้า เราแก่แล้วนะเนี่ย) หุหุ

เป็นลูกคนโตในครอบครัวคะ มีน้องอีก 2 คน ผู้หญิงรองจากเราห่างกัน 1 ปี หัวปีท้ายปีเลยคะ เพราะเกิดเดือนเดียวกัน ต่างกันแค่ปีเท่านั้นเอง และน้องชายเป็นคนสุดท้อง น้องสาวและน้องชายเป็นคนเรียนเก่งตั้งแต่เด็กๆ สอบได้ที่ 1 ทุกปีทั้งสองคน แต่เราจัดอยู่ในอันดับปานกลาง คือสอบได้ตั้งแต่ที่ 4-8 ประมาณนี้มาตลอด ไม่เคยได้ที่ 1 เลย แต่มีอยู่ครั้งนึงไม่รู้ฟลุ๊คหรืออย่างไร สอบได้ที่ 2 คร่า ดีใจที่สุด และหลังจากนั้นการเรียนก็เริ่มแย่ลงๆ เพราะเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ "เรียน" แต่หนังสือนิยาย หนังสือการ์ตูนนี่ติดมากๆ ให้ตายเหอะ แต่ให้แย่ยังงัยก็ยังไปเรียนทุกวันคะ ไม่เคยเกเร จนเริ่มเรียน ปวส. ไปสอบที่ พาณิชยการบางนากับเพื่อนๆ ในกลุ่มประมาณ 5 คนได้ แต่เราสอบติดกับเพื่อนอีกคนนึงเท่านั้น ส่วนที่เหลือสอบไม่ติด ก็เลยไปเีรียนที่อรรถวิทย์กัน ก็ยังใกล้กันอีกอยู่ดี (พากันโดดเรียนง่ายด้วย หุหุ ตอนนี้เริ่มโดดเรียนกันบ้างแล้วเป็นครั้งคราว ^^) ช่วงนี้เริ่มมีแฟนแล้วคะ ก็จะไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าไร ติดแฟนว่างั้นเหอะ แต่ก็จบมาได้เกรด 3 อยู่เหมือนกันน๊า ช่วงนี้เป็นช่วงที่เพื่อนๆ ในกลุ่มก็มีแฟนด้วยเหมือนกัน ทำให้แขวไปบ้าง พอเรียนจบก็มาต่อปริญญาตรีอีก 2 ปี ช่วงเรียนปริญญาตรีนี่คือไม่รู้ตัวเองเลยว่าชอบอะไร อยากทำงานแบบไหน แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกเรียน บริหารทรัพยากรบุคคล (หรือว่าชื่อฟังดูดีก็ไม่รู้ หุหุ)

ย้อนกลับมาตอนเด็กๆ ตอนไปโรงเรียนครูจะถามว่าบ้านเรามีฐานะครอบครัวแบบไหน พอเย็นกลับมาถึงบ้านถามแม่ แม่บอกว่าเรามีฐานะ "ปานกลาง" ตั้งแต่นั้นมาเราก็รู้จักแต่ว่าฐานะปานกลาง ไม่เคยรู้จักคำว่าฐานะยากจน หรือฐานะร่ำรวย เท่าที่จำได้สมัยก่อนตอนยังไม่เข้าโรงเรียน พ่อกับแม่ทำไร่อยู่ที่ระยอง เพราะตาจะซื้อที่ทางทำมาหากินให้ลูกๆ ทุกคน แม่เราได้มาเกือบ 50 ไร่ (ตามีลูก 8 คน พี่น้องแม่ทุกคนมีที่ทางทำมาหากินกันทุกคน) พี่น้องแม่ก็อยู่ระยองกันเกือบทุกคน และเราก็โตมากับท้องไร่ท้องนา บางครั้งเวลาพ่อแม่ไปทำไร่ ก็ต้องหอบหิ้วเรา 3 คนพี่น้องไปด้วย ก็เล่นกันอยู่ในไร่นั่นแหละ จะีมีกระต๊อบเล็กๆ อยู่หลังนึง พ่อแม่ก็สั่งว่าให้ดูน้องอยู่ที่นี่ เราก็เล่นกันไปตามประสา แต่สนุกดีนะ มีที่ให้พวกเราเล่นเยอะแยะเลย พอตกเย็นก็กลับบ้าน พอเริ่มทีี่จะเข้าโรงเรียนแม่ก็พาไปเข้าโรงเรียน สมัยนั้นแม่ต้องขี่จักรยานไปส่ง ไปเรียนกับน้องสาว 2 คน บางวันพ่อแม่ไม่ว่างมารับ ก็ต้องเดินกลับบ้านกันเอง สมัยก่อนเดินไปก็ร้องไห้ไป ทำไมแม่ไม่มารับ เพราะโรงเรียนมันไกลจากบ้านอยู่เหมือนกัน บางทีเดินไปได้ครึ่งทางแม่ถึงจะมารับ ส่วนน้องชายพอเห็นพี่ๆ ไปโรงเรียนก็ร้องตามไม่หยุด จนแม่ต้องไปเอาุกระโปรงนักเรียนของน้องสาวมาใส่ให้ถึงเลิกร้องไห้ นึกแล้วก็ขำเหมือนกัน เรียนได้ไม่นานพ่อแม่ก็ขายที่ที่ระยอง ย้ายมาอยู่บางปะกง เพราะบ้านตากับยายอยู่บางปะกง เราก็เลยย้ายมาตั้งรกรากที่บางปะกงเป็นการถาวร ไม่ได้ทำไร่ทำนาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

อยู่บางปะกง พ่อกับแม่เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้งคะ เพราะตามีที่เยอะ (ในตำบลนั้น ขณะนั้นถือว่าเยอะแล้ว เพราะในระแวกเดียวกันก็อยู่ราวๆ นี้ และใกล้กรุงเทพด้วย เดินทางประมาณ 1 ชม.ก็ถึงแล้ว) ประมาณ 25 ไร่ได้  และเราก็ปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ บ้านตานี่แหละ สมัยก่อนบ้านตาเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนั้นเลยก็ว่าได้ สำหรับเราเรา ก็ว่าใหญ่มาก แถมตากับยายก็อยู่กันแค่ 2 คนเอง ตอนหลังพี่ชาย (ลูกของน้าที่ระยอง ก็มาอยู่ด้วย เพราะมาเรียนหนังสือที่นี่) พี่ชายจะอยู่ชั้น 2 และจะมีเพื่อนพี่ชายมาค้างด้วยบ่อยๆ เราชอบแอบไปดูว่าเขาทำอะไรกัน แล้วก็จะโดนไล่กลับมาบ่อยๆ

แม่บอกว่าสมัยนั้นบ้านตาเป็นหลังเดียวที่มีทีวีดู คนละแวกนั้นก็จะแวะมาที่บ้านตากันบ่อยๆ และตาเป็นคนที่มีคนนับหน้าถือตาเยอะ ใครๆ ก็รู้จัก ตากับยายเป็นคนขยัน ถึงได้สร้างครอบครัวและเลี้ยงลูกมาได้ขนาดนี้ แถมยังมีที่ทางให้ลูกทำมาหากินกันทุกคน แกจะอยู่บ้านเฉยๆ ไม่เป็น จะต้องทำนู่นทำนี่ตลอด ขนาดลูกๆ บอกให้หยุดทำ แกยังไปตัดทางมะพร้าวในสวนมาเหลาไม้กวาดขายเลย เรายังเคยไปช่วยเหลาเลย มันก็เพลินดีนะ สนุกดีและได้ตังค์ด้วย ตากับยายชอบปลูกผักสวนครัวด้วย ฉะนั้นเราจึงไม่ค่อยได้ซื้อผักกินเท่าไร เวลาแม่ทำกับข้าวก็จะใช้ให้เราไปเก็บพริกขี้หนู ใบกระเพรา ฯลฯ ที่บ้านตาตลอด บางทีตอนค่ำๆ หน่อยก็ไม่อยากไปแล้ว เพราะกลัวผี ฮ่าๆๆๆ ก็ตาปลูกพริกไว้หลังบ้านนี่ แถมหลังบ้านก็เป็นบ่อปลาเวิ้งว้างอีกต่างหาก พอเก็บเสร็จก็วิ่งปรู๊ดกลับบ้านเลย ไม่มี่เถลไถล ฮ่าๆๆๆๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่งตาปลูกถั่วผักยาวไว้ริมถนน งามมาก ออกฝักเยอะเลย เราก็ขี่จักรยานเล่นตามประสา แต่ดันไปล้มตรงที่ตาทำซุ้มไว้ให้ต้นถั่วฝักยาว ปรากฎว่าพังไปแถบนึงเลย ตาต้องมาซ่อมแซมใหม่ แถมบ่นอีกนิดหน่อยว่าใครมันทำวะ แต่เราก็กำชับแม่ว่าอย่าบอกตานะ กลัวโดนดุ (- -)"

ตอนเด็กๆ ชอบไปเล่นบ้านตา เพราะตากับยายใจดี และมีที่ให้เล่นเยอะ แต่บางทีก็ชอบใช้ให้บีบขา (อันนี้ไม่อยากทำก็ต้องทำ ฮ่าๆๆๆ) ยายชอบทำตัวดูดขาย (เคยกินกันมั้ยคะ เป็นน้ำหวาน หรือน้ำกาแฟที่เอามาใส่ในแบบพิมพ์พลาสติก เป็นรูปปลามั่ง เป็นรูปขวดโค้กมั่ง) เสร็จแล้วก็เอาไปแช่ช่องฟิสให้มันแข็ง ขายตัวละ 1 บาท เราก็เป็นลูกค้าประจำของยายตลอด บางทียายก็ไม่เอาตังค์ให้กินฟรี หลังๆ แม่เลยบอกว่าไม่ให้ไปซื้อแล้ว เพราะเกรงใจยาย แกชอบให้กินฟรี

บ้านเรากับบ้านยายอยู่ใกล้กัน บางทีแม่ทำกับข้าวเสร็จก็จะให้เรายกไปให้ยายด้วย เรามีอะไรก็จะแบ่งปันกัน (อย่างนี้แหละคนบ้านนอก หุหุ) เมื่อก่อนจะมีความผูกพันธ์กับตายายมาก สมัยก่อนบางทีถ้าตาไม่อยู่บ้าน 2-3 วัน แม่ก็จะให้เรากับน้องสาวไปนอนเป็นเพื่อนยายบ่อยๆ แต่ยายจะตื่นตั้งแต่ตี 3 เพื่อมาสวดมนต์ เราก็ต้องตกใจตื่นไปด้วยเพราะเสียงวิทยุที่ยายเปิดบทสวดมนต์ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการนอนของเราสักเท่าไีร เพราะสักพักเราก็หลับต่อจนถึงเช้า และทุกๆ เช้าตายายจะเปิดวิทยุเพื่อฟังข่าว เราก็จะติดไปกับแกเหมือนกัน จะได้ยินเพลงสยามมานุสติ (ไม่รู้เด็กๆ สมัยนี้จะเคยได้ยินกันมั่งหรือเปล่านะ    
สยามานุสสติ เป็นคำโคลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2461 และได้พระราชทานแก่ทหารอาสาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาได้มีการนำโคลงนี้มาแต่งเป็นเพลงปลุกใจ ซึ่งประพันธ์ทำนองโดยนารถ ถาวรบุตร)

เราจำท่อนฮุกได้ขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้ ที่เขาจะร้องว่า 

หากสยามยังอยู่ยั้ง ยืนยง
เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ ได้ฤๅ
เราก็เหมือนมอดม้วย หมดสิ้นสกุลไทยฯ
ใครรานใครรุกด้าว แดนไทย
ไทยรบจนสุดใจ ขาดดิ้น
เสียเนื้อเลือดหลั่งไหล ยอมสละ สิ้นแล
เสียชีพไป่เสียสิ้น ชื่อก้องเกียรติงามฯ 

เฮ้อ!! ฟังแล้วคิดถึงตากับยายจัง (- -)"

ตอนหลังพ่อกับแม่เปิดร้านขายของชำที่บ้านด้วย ตอนนี้เราก็จะมีงานเพิ่มขึ้นก่อนไปโรงเรียนอีกแล้ว เพราะแม่จะขายก๋วยเตี๋ยวด้วย ส่วนหน้าที่ของเราคือเตรียมเครื่องปรุง พวกพริกดอง น้ำส้ม น้ำปลาไรงี้ ก่อนไปโรงเรียนเราก็จะต้องหั่นพริกดอง และทำความสะอาดพวงพริก แต่ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ก็จะเจียวกระเทียม, สับหมู (ทำหมูบะช่อ), หั่นต้นหอมผักชี คือเรียกว่าทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เมื่อก่อนไม่อยากให้แม่เหนื่อย อยากแบ่งเบา ช่วยเหลืองานแม่บ้าง บางทีเพื่อนชวนไปเที่ยวในเมือง (ซึ่งยากมาก จะไม่ค่อยได้ไปบ่อยๆ เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เพราะพ่อหวงมาก ลูกสาวสวยก็งี้ อิิอิ) ก็จะตื่นเช้ากว่าปกติ มาช่วยแม่เตรียมของให้เรียบร้อยก่ือน ถึงจะไปได้อย่างสบายใจ หรือบางทีวันเสาร์ อาทิตย์ครูให้ไปเรียนพิเศษ ก็จะขอครูว่าขอช่วยแม่เตรียมของ และรอแม่กลับมาจากตลาดก่อน ถึงจะไปเรียน เพราะไม่มีคนเฝ้าบ้าน เผื่อมีคนมาซื้อของ เราเป็นตัวสำรอง รองจากแม่ ส่วนน้องสาวไม่ต้องพูดถึง ทะเลาะกันทุกครั้งกับเรื่องทำงานบ้าน เำพราะชีจะเอาแต่ทำการบ้าน อ่านหนังสืออย่างเดียวเลย จนตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมน้องสาวถึงจบปริญญาเอก แถมจบจากออสเตรเลียอีกต่างหาก ไอ้เรื่องที่เราบ่น และทะเลาะตบตีกันทุกครั้งเพราะชีเอาแต่ทำการบ้านๆ อ่านหนังสือ แล้วก็นอนหลับ ตอนนี้ได้ไขข้อกระจ่างไปเรียบร้อยแล้ว

ช่วงนี้พ่อแม่มีร้านขายของชำด้วย และเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลาด้วย แต่กุ้งต้องดูแลเป็นพิเศษ ทิ้งขว้างเหมือนปลาไม่ได้ ตอนเช้าเราก็ให้อาหารกุ้งด้วย พ่อจะซื้อปลามาจากตลาด เราก็มีหน้าที่สับๆ แล้วเอาไปหย่อนให้กุ้งในบ่อกินด้วย ก่อนไปโรงเรียน ทำให้เราไปโรงเรียนสายประำจำ จนโดนครูว่าหน้าเสาธงเลย   (- -)"  แต่ก็สนุกดี

เราชอบช่วงที่เขาเรียกว่า " ขึ้นปลา หรือ วิดบ่อ"  มาก เมื่อเราเลี้ยงปลาจนโตได้ที่ (ประมาณสัก 8-9 เดือนมั้งถ้าจำไม่ผิดนะ แต่ใช้เวลานานกว่ากุ้ง กุ้งแค่ 3 เดือนก็จับขายได้แล้ว) ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ตื่นเต้นที่สุด เพื่อนบ้านจะมาใช้แรงกัน ช่วยกันจับปลา และจะมีอาหารการกินเยอะมาก เพราะแม่จะทำอาหารไว้เลี้ยงแขกเยอะเลย แต่ช่วงไฮไลท์สำคัญจะอยู่ตอนที่เวลาเขาจับปลากันไปหมดแล้ว มันจะมีพวกปลาช่อน มุดดินอยู่ ซึ่งเขายังจับไม่หมด เราจะขอพ่อไปจับทุกครั้งกับญาติๆ ที่โตมาด้วยกันเนี่ยแหละ สนุกมาก เนืิ้อตัวจะเต็มไปด้วยขี้เลน และแม่จะบ่นทุกครั้งเวลาที่เห็นเรากลับมาในสภาพแบบนี้ เพราะต้องมาซักเสื้อผ้าให้พวกเรา

พอเรียนอยู่ชั้นมัธยม 2 ก็มีจุดหักเห เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่สนามบินสุวรรณภูมิกำลังก่อสร้าง ซึ่งบ้านเรานับว่าห่างจากสนามบินไม่ไกลเท่าไร ทำให้ที่ดินแถวนี้ราคาพุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว ทำให้มีนายหน้าค้าที่ดินแวะเวียนมาหาตาบ่อยๆ ในที่สุดตาก็ตกลงขาย (- -) ท่านคงคิดว่าแก่แล้ว ขายไปจะได้เอาเงินมาแบ่งให้ลูกๆ เพราะลูกๆ ทุกคนก็มีที่ทางทำมาหากินกันเรียบร้อยแล้ว (แต่ท่านคงลืมนึกไปว่ายังมีแม่เรา กับน้าชาย ที่ขายที่ (ที่ตาเป็นคนซื้อให้) แล้วย้ายมาอยู่ในพื้นที่บ้านตากัน 2 ครอบครัว) แต่ตอนนั้นเรายังเด็ก ก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่มีความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น คิดแต่เพียงว่า ต่อไปคงไม่ได้ไปจับปลา และเก็บมะม่วงท้ายบ่ออีกแล้ว

ณ.ตอนนั้นที่ตาตกลงขายที่ดินจำนวน 25 ไร่กว่าๆ จำได้ว่าตาขายไปในราคาไร่ละ 5 แสน ก็ลองบวกลบคูณหารกันเอาเองแล้วกัน แล้วก็แบ่งเงินให้ลูกๆ ทุกคน แต่ตาไม่ได้ขายทั้งหมด ยังคงเหลือไว้ให้เรา 2 ครอบครัวมีที่ปลูกบ้านและมีบริเวณบ้านให้พอประมาณ แม่เลยนำเงินส่วนแบ่งมาต่อเติมบ้าน และขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น ช่วงนี้อะไรๆ ก็ดูดีไปหมด พ่อกับแม่ไม่เคยทะเลาะกันเลย  (อาจจะเป็นเพราะมีเงินในบัญชีให้อุ่นใจแล้ว) แต่เราจำได้สมัยที่ตายังไม่ได้ขายที่ เราก็ไม่ถึงกับลำบาก บ้านเราพอมีพอกิน ตอนเด็กๆ เคยถามแม่ว่าถ้าหนูจะเรียนไปสูงๆ จนจบปริญญาตรีได้มั้ย แม่ก็บอกว่าอยากเรียนแค่ไหนก็เรียนไปเลย ถ้าหัวเราไปไหว แม่สนับสนุนตลอด เพราะแม่บอกว่าตอนสมัยแม่ แม่อยากเีีรียนมาก แต่ตาไม่ให้เรียน ให้ออกมาช่วยกันทำงาน เพราะมีลูกหลายคน แม่บอกว่าถ้าแม่ได้เรียนต่ออีกนิดป่านนี้คงได้เป็นครูไปแล้ว
ตอนนี้เราขออะไรแม่แม่จะตามใจทุกอย่าง สมัยก่อนฮิตกางเกงยีนส์ Levi ตัวละหลายพัน แม่ก็ให้ซื้อ พอเราจบ ม.3 ก็เลือกเรียนสายพาณิชย์ (ไม่รู้ทำไมตอนนั้นคิดแบบนั้นก็ไม่รู้ ตอนนี้นึกเสียดายอยากเีรียนสายวิทย์) จนจบ ปวช. และไปต่อ ปวส.ที่พณิชยการบางนาที่บอกนั่นแหละ และมาต่อปริญญาตรีที่ ราชภัฎราชนครินทร์จนจบ (เคยไปสอบที่ ม.บูรพา 2 ปีซ้อนเลยคะ แต่ไม่ติด เศร้ามากๆ) 

พอเรียนจบแล้วก็มาำทำงานกับญาติแฟนเก่า (แฟนคนแรก คบกันยาวนานมาก ประมาณ 7 ปีได้) เพราะอา หรือแฟนเก่าจะเรียกว่า "โซ้ยโกว" เพราะเป็นคนจีน เป็นผู้หญิงแกร่ง และเก่งมาก เขาเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แฟนเก่าเลยให้มาช่วย "โซ้ยโกว" ที่นี่ ทำได้ 2 ปี ก็ได้งานใหม่เป็นโรงพยาบาลเอกชน แถวๆ บางบ่อ ตอนนี้เลิกกับแฟนเก่าแล้ว เพราะปัญหาหลายอย่าง และมีแฟนใหม่แล้วเช่นกัน (อย่างรวดเร็ว อิอิ) อยู่ที่นี่สนุกมาก งานที่เราทำต้องออกข้างนอกบ่อยๆ เพราะงานที่เราทำอยู่ฝ่ายการตลาด ต้องไปออกบูธ และออกหน่วยตรวจสุขภาพตามโรงงานต่างๆ ด้วย ทำที่นี่นานเหมือนกันเกือบ 4 ปีเต็ม

ทำได้ประมาณ 2 ปี แม่ก็ป่วยเป็นเนื้องอกที่ท้อง ตอนแรกๆ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แม่ผอมลงมาก แต่ท้องกลับโตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนคนท้องเลยก็ว่าได้ ช่วงนี้แม่ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลบ่อย และผลสุดท้ายไปผ่าตัดที่ รพ.จุฬา และต้องพักฟื้นที่นั่น ซึ่งลำบากมากสำหรับคนอยู่ต่างจังหวัด จึงไม่มีใครได้เฝ้าแม่ ก็เทียวไปเทียวมาเอา ช่วงนี้เป็นช่วงที่ขัดสนอีกเหมือนกัน เงินก็ร่อยหลอลงทุกที ของก็แทบไม่ได้ขาย น้องชายก็ติดเพื่อน ติดยา ไม่ยอมไปเรียน ผลสุดท้ายก็เรียนไม่จบ แม่รักษาตัวอยู่หลายอาิทิตย์ ถึงได้กลับบ้าน พอกลับมาบ้านได้ไม่นานยายก็ป่วย แกอายุมากแล้ว แม่จึงไปอยู่บ้านลุงเพื่อดูแลยาย เพราะพี่ๆ น้องๆ คนอื่นอยู่กันไกลถึงระยองนู่นเลย เกือบ 2 เดือนมั้งที่แม่ไปดูแลยายและนอนค้างที่นู่น ไม่นานยายก็เสีย ช่วงนี้เราเสียใจมาก เพราะไม่ได้กลับไปงานศพยายเลย ด้วยเหตุผลบางประการ ช่วงนี้เศรษฐกิจที่บ้านแย่มากๆ ของก็ไม่ได้ขายแล้ว เรียกได้ว่าเป็นจุดต่ำสุดของชีวิตเราเลยก็ว่าได้


พอเสร็จสิ้นจากงานศพยาย หลานแม่ก็ชวนแม่ไปทำงานที่ระยอง แกเป็นอาจารย์อยู่ที่ระยอง และจะสนิทกับแม่มาตั้งแต่เด็กๆ โตและเล่นมาด้วยกัน (เป็นลูกของพี่ชายคนโตของแม่ และแม่กับพี่ชายคนนี้อายุค่อนข้างห่างกันพอสมควร จึงมีลูกอ่อนกว่าแม่ไม่ถึง 10 ปี) บ้านพี่อ๋อยอยู่ใกล้กับแหลมแม่พิมพ์ พอดีมีคนต้องการแม่บ้านไปดูแลรีสอร์ท แม่เลยไปอยู่กับพี่อ๋อยและช่วยพี่อ๋อยทำขนมส่งขายที่ตลาดด้วย แต่เงินเดือนที่ได้มา แม่ไม่เคยใช้เลย แม่ส่งมาให้พ่อกับน้องชายทุกเดือน แม่บอกว่าอยู่กับพี่อ๋อยไม่ต้องใช้เงิน เพราะกินอยู่กับเขา แถมยังช่วยเขาทำขนมขายอีก 


เวลาที่นึกย้อนกลับไปตอนนี้ทีไร ทำให้เราน้ำตาตกทุกครั้ง และนับตั้งแต่นั้นมา เรามีความตั้งใจและปฎิญาณกับตัวเองมาตลอดว่า เราจะต้องไม่ทำให้พ่อแม่ลำบากอีก ทุกวันนี้จึงส่งเงินให้แม่ทุกเดือน และคิดอยู่เสมอว่าเราจะไม่ให้เขาต้องทำอะไรแล้ว จะให้อยู่เฉยๆ พักผ่อน เพราะเหนื่อยมามากแล้ว

เอ ทำไมตอนจบมันเศร้าจังหว่า (- -)" 
แต่อยากบอกว่ารักทุกคนนะ ถึงแม้จะไม่เคยพูดออกมาเลยสักครั้งเดียว




รูปนี้ถ่ายตอนน้องสาวรับปริญญาโท (7 ปีมาแล้ว) จนตอนนี้ชีจบด๊อกเตอร์ไปแล้ว ไม่มีน้องชาย เพราะฮีไม่ชอบถ่ายรูป และไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน


jeudi 13 octobre 2011

เก็บตกจากห้องเรียน

เกิดเป็นคนไทยนี่ประเสริฐที่สุดแล้วจริงๆ คนไทยเรามีความเคารพ มีความเกรงใจ มีมารยาท ที่พูดแบบนี้เพราะว่าได้เจอมากับตัวเอง ตอนที่ได้มาเรียนภาษานี่แหละคะ ที่นี่เป็นแหล่งรวมคนต่างชาติจริงๆ (เพราะคนฝรั่งเศสคงไม่มาเรียนภาษาฝรั่งเศสกันหรอก จริงปะ หุหุ)

สถานที่เราไปเรียนนี่จะเป็นสถานที่สำหรับคนที่แต่งงานกับคนฝรั่งเศส หรือคนที่มีความจำเป็นต้องมาอยู่ที่นี่ มาทำงาน หรืออะไรก็ตามที่ต้องอาศัยแบบยาวนาน หรือถาวร เหมือนเป็นการบังคับว่าถ้าคุณมาอาัศัยอยู่ที่นี่แล้ว คุณจำเป็นต้องพูดฝรั่งเศสให้ได้ ถ้าคิดจะขอสัญชาตินี่ต้องอ่านออก เขียนได้ พูดชัดเจน และต้องมีความรู้รอบตัวเกี่ยวกับฝรั่งเศสเป็นอย่างดี รัฐบาลเขาจะมีีครอสเรียนภาษาให้เราฟรี ประมาณคนละ 252 ชั่วโมง (ณ. ปี 2011 นะคะ รุ่นก่อนหน้านี้เห็นเขาว่า 400 ชั่วโมงเลยทีเีดียว) แต่หลังจากนั้นคุณต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว สำหรับเราหมายมั่นไว้แล้วว่าต้องเสียตังค์ไปเรียนในมหาลัยฯ แน่ๆ เพราะตอนนี้เรียนมาเดือนนึงแล้ว ยังพูดติดๆ ขัดๆ อยู่เลย  แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก อ่านแล้วเข้าใจ ออกเสียงเริ่มจะได้บ้าง

ส่วนคนที่มาเรียนส่วนมากจะเป็นพวกคนตุรกี (ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Turque), แอลจิเรีย (ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Algeric) โคโซโว, โปรตุเกต คนพวกนี้ส่วนมากอพยพมาหางานทำ เพราะรัฐบาลที่นี่ค่อนเข้างเลี้ยงดูดี และก็จะมีคนเอเซียบางส่วน ส่วนมากผู้หญิงเอเซียที่มาอยู่ที่นี่เพราะแต่งงานกัีบคนฝรั่งเศส ห้องเรามีคนจีนด้วย 1 คน คนเขมร 1 คน แต่คนเขมรคนนี้น่าสงสารมาก เขาย้ายตามสามีมาอยู่ที่นี่ คิดว่าสามีน่าจะเป็นคนอพยพมาอยู่นานแล้ว เพราะแกพูดฝรั่งเศสได้คล่องเลยทีเดียว แกมีลูกน้อยน่ารักมากคนนึง น่าจะขวบนึงได้ แต่ภรรยาพูด, อ่าน, เขียน และฟังไม่ได้เลย เขาได้มาอยู่ห้องเดียวกับเรา เพราะว่าห้องเรานี่คิดว่าคงเป็น Level 0 เลย เพราะเราก็พูดไม่ได้เช่นกัน แต่อาศัยว่าพอได้ภาษาอังกฤษบ้าง บวกกับเรียนจบ ป.ตรี ทำให้ง่ายขึ้น (แต่ความจริงง่ายมากๆ เลย เวลาทำแบบฝึกหัดเสร็จก่อนเพื่อนทุกครั้ง แต่ให้พูดพูดไม่ได้ซะงั้น) แต่พี่คนเขมรคนนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วย ทำให้ไม่มีใครสามารถอธิบาย หรือช่วยเหลือเขาได้เวลาที่ครูถาม ตลอดเวลา 4 ชั่วโมงในห้องเรียน แกคิ้วขมวดตลอด และไม่เคยทำแบบฝึกหัดเลย เพราะทำไม่ได้ เรียนได้สัก 2 อาทิตย์ครูก็ให้ย้ายห้องไปอยู่ห้องอื่น

แต่จะมีคนบางกลุ่มที่เราจะเอ่ยถึงนี้ (อย่าว่านินทาเลยนะ เอาเป็นว่ายกตัวอย่างให้ฟังแล้วกิน คริคริ) ชีเป็นผู้หญิงอ้วน (อ้วนมาก) คนนึงเป็นคนแอลจิเรียนี่แหละ แกจะโพกหัวเหมือนพวกอิสลาม ใส่กระโปรงยาว เสื้อแขนยาว จะชอบหัวเราะเยาะพี่เขมรคนนี้เวลาที่ครูถามแล้วแกพูดไม่ได้ แกตอบได้คำเดียวว่า " Oui " ทั้งๆ ที่ไม่ตรงคำถาม (เข้าใจใช่ป่าวคะ เหมือนกะว่าถามอะไรกรูไม่รู้เรื่อง ก็ตอบใช่ไว้ก่อน ประมาณนั้น) แกหัวเราะแบบว่าดังมาก แบบไม่มีมารยาท และไม่คิดว่าคนที่ถูกหัวเราะเยาะเขาจะอายแค่ไหน หัวเราะไม่่พอ ยังหันไปชวนเพื่อนหัวเราะตามด้วย แต่ก็ยอมรับว่าเขาพูดได้เยอะกว่าเรามาก ก็เก่งแหละ แต่ควรจะมีความเกรงใจกันมั่ง ยังไม่จบแค่นั้นนะ หุหุ คือเวลาเริ่มเรียน 8.30 น. แต่แกจะมาตอน 9.00 น. หรือ 9.30 ทุกวัน ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าครูทำไมไม่เคยว่าเลย แต่คนอื่นเวลาที่มาสายสัก 20 นาทีก็จะถูกตำหนิแล้ว เท่านั้นยังไม่พอคร่า.....

เวลาเบรค 30 นาที ทุุกคนก็จะออกไปนั่งตากแดดข้างนอกกัน ไปกินขนมกันมั่ง เข้าห้องน้ำกันมั่ง แต่ชีจะไม่ไปไหนทั้งสิ้นเลยคร่า จะนั่งเม้าท์กะเพื่อนๆ ชาติเดียวกันเสียงดังลั่นห้อง แบบไม่เกรงใจใคร (อีกเหมือนเคย) แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน เพราะนอกเวลาเรียน

แต่พอเริ่มเรียนไปสักครึ่งชั่วโมง ชีจะลุกแระ ไปเข้าห้องน้ำมั่ง ไปข้างนอกมั่ง เป็นอย่างนี้ทุกวัน (น่าเบื่อมั้ยหละ เห็นแล้วมันแบบว่าหงุดหงิด)

แล้วเวลาทำแบบฝึกหัด ถ้าชีทำเสร็จเมื่อไรชีจะต้องเรียกครูมาดู ว่านี่นะฉันทำเสร็จแล้่วนะ เก่งมั้ย (แบบว่าอยากให้ครูชมอะ)

ในห้องเรียนมีนักเรียนประมาณ 14 คน แต่จะมีอยู่ประมาณ 2-3 คนที่มีปัญหาตลอด

ส่วนอีกคนก็น่าจะเป็นชาติเดียวกัน เพราะเห็นส่งภาษากันอยู่ คนนี้มาเรียนที่หลังคนอื่นประมาณ 2 อาทิตย์ได้ อายุประมาณ 20 ต้นๆ วันแรกที่มาเรียน คุณสามีจะพามาส่งถึงห้องเรียนเลย แนะนำตัวกับอาจารย์ให้เสร็จเรียบร้อย (สามีแกตัวอ้วนๆ บุคลลิกลักษณะถ้าเป็นคนไทย จะพูดว่า " กุ๊ย " อะ (คงไม่แรงไปนะ เหอๆ) พูดจาเสียงดัง แต่งตัวแบบนั้นแหละ และทุกครั้งที่มาส่งจะเข้ามานั่งอยู่บนหัวโต๊ะเพื่อคุยเป็นเพื่อนภรรยาจนกว่าครูจะเข้ามาแล้วฮีถึงจะกลับ (อืม ช่างเป็นสามีที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง)

วันแรกชีมาสาย ไม่มีที่ว่าง พอดีโต๊ะข้างๆ เราว่างอยู่ เราเลยเคลียร์พื้นที่ให้เขานั่งด้วย ตอนแรกเราก็ยิ้มทักทายเขาดีอยู่ แต่สักพักนึงคะ ชีเริ่มเขยิบเข้ามา เขยิบเข้ามา (เหมือนชีจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ เหมือนกะว่าอากาศหนาวซะจริงอยากหาความอบอุ่นประมาณนั้น) จนยิ่งหนักเข้าจนเราทนไม่ไหว พยายามจะทำให้รู้ตัว ชีก็ไม่ยักจะรู้แฮะ จนในที่สุด (โต๊ะของเรา) ก็กลายเป็นของชีไปแล้ว 80% จนเราต้องเขาขาค่อมกับขาโต๊ะไว้ข้างนึง ช่างน่าเศร้าซะจริงๆ โต๊ะเราแท้ๆ อุตส่าห์ใจดียกกระเป๋าออกให้นั่ง ในที่สุดอิชั้นก็ทนไม่ไหวคร่า ยกกระเป๋าและสัมภาระอุปกรณ์การเรียนเขยิบมานั่งอีกโต๊ะนึงข้างๆ กะพี่ผู้ชายชาวตุรกี แต่ชีก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเราย้ายมานั่งอีกโต๊ะนึงแล้ว ก็ได้แต่เหล่ไปมอง เห็นชีครอบครองโต๊ะอย่างสบายใจ เฮ้อ...... ผ่่านไป 20 นาทีชีถึงได้รู้ตัวว่าตอนนี้นั่งอยู่คนเดียว (บนโต๊ะของเรา) ชีก็ทำตาโต ว่า โอวแม่เจ้า เพราะแดดมันส่งตา เราถึงได้ย้ายไปนั่งอีกโต๊ะนึง เวงกำ !!  อยากจะร้องเพลง " ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย.... ในความคุ้นเคยกันอยู่ บลาบลา)

หลังจากนั้นเป็นต้นมา เราก็พยายามหลีกเลี่ยง นั่งให้ห่างเขาตลอด แต่เหมือนโชคจะเข้าข้าง เพราะวันรุ่งขึ้นชีมาเช้ากว่าเรา และเลือกไปนั่งแทนที่หญิงสาวชาวจีนแทน แป่วววววว (- -)" และก็ยึดฝั่งนั้นมาตลอด

แต่เรื่องมันไม่จบเพียงแค่นั้นนะคะคุณผู้ชม ชีเป็นคนพูด โต้ตอบ สนทนากับอาจารย์ได้ดีเลยทีเดียว แต่เวลาให้ทำแบบฝึกหัด ชีกลับทำไม่ได้เลย ก็ไม่รู้ว่าเพราะอ่านหนังสือไม่ออก หรือเขียนไม่ได้ หรือไม่ได้เรียนหนังสือมา  แต่สมัยนี้เกือบทุกประเทศก็จะมีหลักสูตรภาษาอังกฤษสอนด้วยทุกที่ไม่ใช่เหรอ ? เวลาทำแบบฝึกหัด (วันแรก) ชีจะหยิบแบบฝึกหัดของเราไปลอกทั้งแผ่นเลยคร่า และจะหันมาถามว่า Tu comprends.? (ขออภ้ยถ้าเขียนผิดนะคะ เพิ่งเริ่มเรียนอะคะ ^^) แปลว่าเธอเข้าใจมั้ย เหมือนจะหาพวกว่ามีใครไม่เข้าใจเหมือนหล่อนมั่ง แต่เราก็ตอบกลับไปแบบเสียงดังฟังชัดว่า " Oui, Je comprends " ชีก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกลับไป 

ผ่านไปสัก 1 อาทิตย์ คราวนี้หนักกว่าเก่าีอีกคร่า ชีมีคำถามยอดฮิตที่จะถามครูทุกครั้งจนน่ารำคาญว่า  " Pour quoi? "  ทั้งๆ ที่คำศัพท์คำนั้นครูสอนไป 10 รอบแล้ว แต่ชีก็ไม่เคยคิดจะจำเลยสักครั้ง นึกแล้วน่าสงสารครูจริงๆ และจะมีคำถามนี้มารบกวนโสตประสาทของอิช้านทุกวัน วันละ 3-4 ครั้ง ด้วยคำศัพท์คำเดิมๆ อีกเหมือนเคย เฮ้อ.............


อีกคนนึงคะ คนนี้คนสุดท้าย เป็นคุณป้าอายุ 50 กว่าๆ น่าจะได้ เป็นคนโคโซโว หน้าตาถ้าคุณได้เห็นคุณจะนึกถึงคนที่หน้าตาขี้โกงๆ จมูกงุ้มๆ ปากแหลมๆ เวลาพูดปากจะเผยอยื่นออกมาแหลมๆ (เหมือนใครน๊า ในการ์ตูนโดราเอมอน ที่เป็นเพื่อนกับเด็กตัวอ้วนๆ หัวโจกอะ) ผิวแกจะขาวๆ ตัวอวบๆ เวลานั่งแกจะหุบขาไม่ได้เพราะหน้าท้องแกใหญ่มั่กๆ เป็นรูปสามเหลี่ยม จนมองไม่เห็นโจ๊ะโมะเลยก็ว่าได้ ป้าแกจะมึนตลอด เวลาครูให้อ่่านแกก็จะพูดตามคำพูดอาจารย์ที่สั่งให้แกอ่านนะแหละ (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ทั้งๆ ที่แกพูดได้เยอะกว่าเราอีก) ทำให้คนอื่น รวมทั้งเจ้อ้วนนั่นด้วย ยิ่งหัวเราะเสียงดังเข้าไปใหญ่ แกจะอ่านไม่ค่อยออก ทำแบบฝึกหัดไม่ได้เลย ไม่เข้าใจ อาจารย์เฉลยบนกระดาน ก็เหมือนแกจะไม่รู้อีกเหมือนกันว่านี่คำเฉลย เวลาให้จดแกก็จะไปจดบนกระดาษที่อาจารย์แจกให้ทำแบบฝึกหัด เวลาถามคำถามที่เพิ่งเรียนไปเมื่อต้นชั่วโมง แกก็ตอบไม่ได้แล้ว แกก็จะบอกครูว่า ฉันไม่รู้ เวลาให้ฟังเทป ห้ามพูด ให้ทุกคนใช้สมาธิฟัง แกก็จะพูดตามที่เทปพูด อืมมมมม มึนได้อีกนะป้า เห็นแกแล้วก็เริ่มจะมึนตามเหมือนกัน 55555555 


ป้าแกจะมีเพื่อนคุยอยู่คนนึง อายุประมาณ 40 ได้ เป็นคนโปรตุเกส แต่พี่คนนี้เก่งแล้ว อ่านออกเขียนได้ ทำแบบฝึกหัดได้ เก่งเลยแหละ จนได้เลื่อนชั้นไปเรียนอีกห้องนึงแล้วด้วย และนิสัยดีด้วย เราจะทักเขาทุกวัน และเหมือนพี่แกก็จะระอาป้าคนนี้้อยู่เหมือนกันนะ หุหุ



dimanche 9 octobre 2011

หมู่บ้าน Montpeyroux เมือง ISSOIRE

เมื่อ 2 เดือนก่อนไปเที่ยวหมู่บ้าน Montpeyroux มาตามคำแนะนำของเพื่อนโดม สมคำเล่าลือจริงๆ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่น่ารักอย่าบอกใคร เงียบสงบ เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตในบั้นปลาย ยังแอบกระซิบบอกที่รักว่า เมื่อ you เกษียณ เรามาซื้อบ้านที่นี่อยู่กันเหอะ

หมู่บ้านนี้สร้างด้วยหินทั้งหมู่บ้าน ตั้งอยู่ที่เมือง ISSOIRE ขับรถประมาณ 30 นาที จาก Clermont Ferrand เหมาะสำหรับปิคนิค เพราะใช้เวลาแค่อึดใจเดียวก็ถึง

หมู่บ้านนี้ติดอันดับหมู่บ้านสวยในฝรั่งเศสด้วยนะคะ ^^

คราวก่อนไปกับที่รัก 2 คน ตอนนั้นผมยังยาวสลวยอยู่เ้ลย แถมวันที่ไปวันนั้นแดดดีอีกต่างหาก อากาศก็กำลังสบายๆ เราจอดรถไว้ด้านนอก แล้วเดินสำรวจหมู่บ้านกันไปเรื่อยๆ เมืองนี้มีมนต์เสน่ห์จริงๆ เพียงแค่ก้าวแรกก็หลงรักแล้วหละ ยังคุยกะแฟนเลยว่าอยากจะมาถ่ายรูปแต่งงานที่นี่อีกรอบนึงจริงๆ


ไม่หลงแน่ๆ เห็นชื่อหมู่บ้านแล้ว


ตรงป่องสูงๆ นั่น ข้างในจะมีบันใดปีนขึ้นไป สามารถมองเห็นวิวทั้งเมืองเลยคะ แต่เสียค่าเข้าคนละประมาณ 2-3 ยูโร

มองลอดช่วงตึกไป จะเห็นท้องนาและุขุนเขาเล็กๆ


ประตูบ้านสีม่วง มีรูปหัวใจน่ารักมาก เจ้าของบ้านเข้าใจทำ



ประตูชัยของหมู่บ้าน อิอิ





มีร้านขายของที่ระลึกหลายร้านเหมือนกัน ร้านนี้ขายภาพวาด และกล่องกระดาษทิชชู่ แบบอาร์ตๆ ด้วย สวยดีคะ แต่ราคาก็แอบแพงอยู่เหมือนกัน เลยไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาเลย ถ้าเป็นเมืองไทย คงหมดไปหลายบาท ^^




บ้านน่ารักๆ ^^



ลูกพรุนดก เต็มต้นเลยคะ




กำแพงข้างหมู่บ้าน มองเห็นวิวสวยงามอีกมุมหนึ่งเหมือนกัน

เมื่อวานไปมาอีกรอบกับพี่เจ็ง และเด็กๆ ยังไม่ได้ up load รูป เด๋วจะเอามาลงเพิ่มให้ชมกันอีกรอบนะคะ